“ชนิต” ยันไม่เคยขายหุ้น TACC ออกมาเลย หลังราคาร่วง 2 ปีต่อเนื่อง จนราคาเหลือ 4.66 บาท ทำรายย่อยติดดอยเพียบ ลั่นเดินหน้าปั้นรายได้ปีนี้โตไม่ต่ำกว่า 10% พร้อมตุนเงินสด 300 ล้านบาทจ่อซื้อกิจการขยายฐานรายได้
นายชนิต สุวรรณพรินทร์ กรรมการผู้จัดการบริษัท ที.เอ.ซี. คอนซูเมอร์ (TACC) เปิดเผยถึงราคาหุ้นของบริษัทที่ลดลงในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาจากที่ระดับ 10 บาทต่อหุ้นเหลือ 4.66 บาทต่อหุ้นในขณะนี้ ว่า ที่ผ่านมาตนเองไม่เคยขายหุ้นออกมาเลย ในขณะที่กำไรของบริษัทก็ไม่ได้ถดถอย โดยกำไรยังคงเพิ่มขึ้นทุกปี และบริษัทก็มีแผนที่จะเพิ่มรายได้ในอนาคตอย่างต่อเนื่อง แต่ตอนนี้ยังบอกไม่ได้
ทั้งนี้ ปัจจุบันราคาหุ้นที่ลดลงมาจนมีค่าพี/อีอยู่ที่ประมาณ 20 เท่า ถือว่าเป็นระดับที่เหมาะสม ต่างจากตอนที่ราคาหุ้นเคยขึ้นไปมากจนมีค่าพี/อีอยู่ที่ 70-80 เท่า แต่ก็ยังมีคนกล้าซื้อ
“มีคนถามว่าตอนนี้มีนักลงทุนรายย่อยถือหุ้น TACC เกือบ 5,000 ราย จากก่อนหน้านี้ที่มีนักลงทุนรายย่อยถือหุ้น 1,300 คน แล้วถามว่ารายใหญ่ขายหุ้นให้รายย่อย ทำให้รายย่อยติดดอยหรือเปล่า ก็บอกเลยว่ารายใหญ่ไม่ได้ขาย และผมเองก็ไม่เคยขายเลย”นายชนิตกล่าว
นายชนิต ระบุว่า ปัจจุบันบริษัทมีเงินสดอยู่ 300 ล้านบาท และบริษัทอยู่ระหว่างพิจารณานำเงินดังกล่าวไปซื้อกิจการหรือร่วมทุนกับกิจการบางแห่งที่อยู่ในกลุ่มผู้ผลิตสินค้าอาหารด้วยกัน เพื่อขยายฐานรายได้ โดยที่ผ่านมาได้มีการเจรจาไปหลายรายแล้ว แต่แนวทางธุรกิจไปด้วยกันไม่ได้ หากซื้อเข้ามาหรือรวมกันแล้วจะมีปัญหาทำให้ปวดหัวมากขึ้น
นายชนิต กล่าวว่า ปีนี้บริษัทตั้งเป้าเพิ่มรายได้ไม่ต่ำกว่า 10% เทียบกับปีก่อนที่มีรายได้ 1,281 ล้านบาท โดยจะพัฒนาสินค้าใหม่ๆออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง และล่าสุด TACC ได้เซ็นสัญญากับบริษัท Ingram ของญี่ปุ่น ให้ทำหน้าที่เป็นตัวแทนผู้อนุญาตให้ใช้สิทธิ์สินค้าของบริษัท San-X เจ้าของลิขสิทธิ์การ์ตูน เช่น Rilakkuma ,Sumikko gurashi และ Mamegoma เป็นต้น ใน 7 ประเทศ เป็นเวลา 4 ปี
นายชนิต กล่าวว่า ในช่วงปี 2560 ที่ผ่านมา บริษัทยังคงพึ่งพารายได้จากการขายสินค้าในร้านสะดวกซื้อเซเว่น อีเลฟเว่น (B2B) คิดเป็นสัดส่วนที่สูงถึง 84% และเป็นสินค้าที่เป็นแบรนด์ของ TACC (B2C) ในสัดส่วนเพียง 16% เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ในปี 2563 บริษัทตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนรายได้จากการขายสินค้าภายใต้แบรนด์ TACC เป็น 35% จากการเพิ่มการขายสินค้าในตลาดจีน ตลาดกัมพูชา และการได้รับส่วนแบ่งจากการเป็นตัวแทนผู้อนุญาตให้ใช้สิทธิ์ลิขสิทธ์การ์ตูน
นายชนิต ยอมรับว่า กำไรขั้นต้นการขายสินค้าในช่วงไตรมาสแรกปีนี้น่าจะออกมาไม่ดี เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการจัดเก็บภาษีน้ำตาล และสงครามราคาสินค้าเครื่องดื่มชาเขียวในกัมพูชา แต่กำไรขั้นต้นจะกลับมาดีในช่วงไตรมาส 2-4 เนื่องจากบริษัทจะลดปริมาณการใช้น้ำตาลในสินค้าและนำสารให้ความหวานมาใช้แทน โดยจะผลิตสินค้าภายใต้คอนเซ็ป “น้ำตาลน้อย อร่อยมาก” ตลอดจนจะมีการปรับกลยุทธ์การขายสินค้าในตลาดกัมพูชาเพื่อให้เจ็บตัวน้อยที่สุด
“การขายสินค้าในตลาดจีนเรายังเห็นว่าเป็นโอกาส แม้ว่าปีที่แล้วเราจะมีรายได้เพียง 4-5 ล้านบาท ซึ่งต้องยอมรับว่าการทำตลาดในจีนยังมีอุปสรรค และเรากำลังหาเอเย่นต์รายใหม่ในจีน ส่วนในตลาดกัมพูชายอมรับว่าเราคงต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เพื่อให้เจ็บตัวน้อยที่สุดจากสงครามราคา ในขณะที่การเพิ่มภาษีน้ำตาลจะมีผลกระทบกับเราในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ และเราได้ปรับกลยุทธ์ โดยลดการใช้น้ำตาล และนำสารให้ความหวานใช้แทน”นายชนิตกล่าว