หุ้นร่วงไม่กระทบ IPO 28 บริษัทจ่อเข้าตลาด

HoonSmart.com>>หุ้นน้องใหม่ยังคงเดินหน้าเข้าตลาดหลักทรัพย์ ยื่นคำขอ 28 บริษัท ไม่สนดัชนีขาลงต่ำกว่า 1,300 จุด 10 ก.ย. SCC ขึ้นป้าย XB ให้สิทธิผู้ถือหุ้นซื้อ IPO เอสซีจี แพคเกจจิ้ง 7.095 : 1 ส่วน “เวล เกรด เอ็นจิเนียริ่ง” เตรียมเสนอขาย 160 ล้านหุ้น เคาะราคาเดือนก.ย. เข้าเทรด SET ต.ค.นี้ สรุป 6 เดือน ไทยครองแชมป์เสนอขายสูงสุดในอาเซียน ประมาณ 7 หมื่นล้านบาท เดือนส.ค.ระดม 6,975 ล้านบาท

 

รายงานข่าวเปิดเผยว่า ขณะนี้มีบริษัทจำนวน 28 แห่งยื่นคำขอเสนอขายหุ้นต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ซึ่งจำนวนไม่ได้ลดน้อยลงแต่อย่างใด แม้ว่าภาวะตลาดหุ้นจะปรับตัวลงจากทั้งปัจจัยในและต่างประเทศ  ดัชนีถอยลงมาซื้อขายต่ำกว่าระดับ 1,300 จุด ก็ตาม โดยมีบริษัทขนาดใหญ่หลายราย พร้อมจะเข้าจดทะเบียนและซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ (SET) ภายในปี 2563

อาทิ บริษัทปตท. น้ำมันและการค้าปลีก(OR) เตรียมเสนอขายหุ้นให้ประชาชนครั้งแรก (IPO) จำนวน 3,000 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้(พาร์หุ้นละ 10 บาท และบริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) อยู่ระหว่างการดำเนินการขายหุ้นจำนวน 1,194.8 ล้านหุ้น และหุ้นส่วนเกิน (กรีนชู) อีก179.2 ล้านหุ้น โดยวันนี้ (10 ก.ย.2563) บริษัทปูนซิเมนต์ไทย (SCC) ขึ้นเครื่องหมาย XB ผู้ถือหุ้นได้รับสิทธิซื้อหุ้น SCGP จำนวน 2,823,000 หุ้น สัดส่วน 7.095 ต่อ 1 ซึ่งนักลงทุนให้ความสนใจค่อนข้างมาก เพราะหุ้น IPO เป็นโฮลดิ้งประกอบธุรกิจหลักให้บริการโซลูชันด้านบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีในระยะยาว

นอกจากนี้ หุ้นขนาดกลางและบริษัทเล็ก ก็ยังคงดำเนินการเพื่อเสนอขายหุ้น IPO ตามแผนงาน เช่นบริษัท เวล เกรด เอ็นจิเนียริ่ง (WGE) เตรียมเสนอขายไอพีโอ 160 ล้านหุ้น ภายในเดือน ก.ย.63 และคาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ เดือน ต.ค.นี้ โดยมี บริษัทคันทรี่ กรุ๊ป แอ๊ดไวเซอรี่ เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

นายเกรียงศักดิ์ บัวนุ่ม ประธานกรรมการบริหาร บริษัทเวล เกรด เอ็นจิเนียริ่ง (WGE) เปิดเผยว่า การระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ครั้งนี้ จะช่วยให้บริษัทฯมีความแข็งแกร่งด้านฐานะการเงิน และเพิ่มความสามารถในการเข้าร่วมประมูลโครงการขนาดใหญ่มากขึ้น จากมูลค่าสูงสุดที่ทำได้ 800 ล้านบาท หลังจากการเพิ่มทุนครั้งนี้จะสามารถรับงานมูลค่าได้มากกว่า 1,000 ล้านบาท ขณะเดียวกันช่วยยกระดับองค์กรให้มีการบริหารงานอย่างมืออาชีพ

ปัจจุบันบริษัทมีมูลค่างานในมือ (Backlog) ประมาณ 1,575 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 60-65% บริษัทมีความพร้อมที่จะเข้ารับงานเพิ่มเติม  จากโครงการภาครัฐที่ยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง และงานจากกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรม ในรูปแบบโรงงาน โดยตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา มีงานลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมเข้ามา ทำให้มีอัตรากำไรในระดับสูง ประมาณ 17% โดยบริษัทมีเป้าหมายที่จะรักษาอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยไว้ที่ 10-15%

“ บริษัทเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างอาคาร และสิ่งปลูกสร้าง ที่มีแหล่งรายได้ทั้งภาครัฐ และเอกชน เช่น คอนโดมิเนียมแนวสูง และแนวราบ โรงพยาบาล อาคารสำนักงาน ซึ่งครอบคลุมถึงงานวิศวกรรมโยธา งานระบบ วิศวกรรมประกอบอาคาร และงานภูมิสถาปัตย์ รวมถึงงานก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคตามที่ลูกค้ากำหนด มีฐานลูกค้ากระจายทั่วประเทศ และที่สำคัญธุรกิจไม่ได้กระจุกตัวในกลุ่มลูกค้ากลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง มีการกระจายความเสี่ยงธุรกิจ และมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก” นายเกรียงศักดิ์ กล่าว

สำหรับผลงานในปี 2560-2562 กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้จากการก่อสร้าง 988.14 ล้านบาท , 1,290.11 ล้านบาท และ 1,506.94 ล้านบาท ตามลำดับ ส่วนครึ่งแรกของปี 63 มีรายได้รวมจำนวน 469.01 ล้านบาท ด้านกำไรสุทธิในปี 2560 – 2562 เท่ากับ 63.84 ล้านบาท , 37.68 ล้านบาท และ 114.66 ล้านบาท ตามลำดับ ครึ่งแรกของปีนี้มีกำไรสุทธิ 29.12 ล้านบาท

ด้านการเสนอขายหุ้น IPO ตลาดหุ้นไทยมีสถิติสูงมาอย่างต่อเนื่อง โดยในครึ่งปี 2563 ก็ยังคงสูงที่สุดในอาเซียน มูลค่า 2,328 ล้านดอลลาร์ หรือ ประมาณ 7 หมื่นล้านบาท   ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อเปรียบเทียบ 10 ปีที่ผ่านมา

ตลาดหลักทรัพย์เปิดเผยว่า ในเดือนส.ค. มีกิจกรรม IPO อย่างต่อเนื่อง มีเข้าจดทะเบียนซื้อขายใหม่ใน SET 2 หลักทรัพย์ ได้แก่ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้า กลุ่มน้ำตาลครบุรี, ทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ พรอสเพค โลจิสติกส์และอินดัสเทรียล, และใน mai 2 หลักทรัพย์ ได้แก่ บริษัท เอิร์ธ เท็ค เอนไวรอนเมนท์(ETC) และ บริษัท ไอแอนด์ไอ กรุ๊ป (IIG) มีมูลค่าระดมทุน (IPO) รวม 6,975 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ณ สิ้นเดือนส.ค. ปิดที่ 1,310.66 จุด  ลดลง 1.3% จากเดือนก่อน และลดลง 17.0% จากสิ้นปีก่อน แต่ยังอยู่ในระดับที่สูงกว่า MSCI ASEAN ที่ลดลง 19.9% จากสิ้นปีก่อน

ทั้งนี้ หุ้น IIG สร้างผลตอบแทนที่ดีมากให้แก่นักลงทุนที่ซื้อหุ้น IPO ในราคาหุ้นละ 6.60 บาท  วันแรกของการเข้าซื้อขายในตลาด mai วันที่ 6 ส.ค. ปรากฎว่าราคากระโดดขึ้นสูงสุดถึง 200% ปิดที่ 19.80 บาท +13.20 บาท และหุ้นยังสามารถไต่ขึ้นไปสูงสุดเกือบ 25 บาท ปัจจุบัน (9 ก.ย.)ราคายังเหนือจองปิดที่ 18.10 บาท เพิ่มขึ้น 0.20 บาท ส่วน ETC ขายในราคา 2.60 บาท วันแรกราคาเปิดที่ 4 บาท แต่หลังจากนั้นอ่อนตัวลง มาอยู่ที่ 1.95 บาท แม้มีการซื้อหุ้นคืนจากตลาดหลักทรัพย์ เพื่อส่งมอบตามจำนวนที่ขายส่วนเกิน และซื้อได้ครบแล้วตามกำหนดระยะเวลาวันที่ 9 ก.ย. 2563

อ่านประกอบ

ก.ล.ต.ไฟเขียว “ศิรกร” ขายไอพีโอ 115.35 ล้านหุ้น เข้า mai

‘เอ็นอาร์ อินสแตนท์ฯ’ เตรียม IPO เข้าตลาดปีนี้ มุ่งสู่ผู้นำ Plant Based Food