“ทิสโก้” เผยกองทุนฯรอจังหวะ “ซื้อหุ้นกลับ”

“ทิสโก้” เผยกองทุนรอจังหวะเหมาะสม “ซื้อหุ้นกลับ” ประเมินดัชนีสิ้นปียืนได้ 1,840 จุด แม้ผลกระทบสงครามการค้ายังไม่ยุติ และเงินทุนไหลออกส่อลากยาวข้ามปี แนะนักลงทุนซื้อหุ้นปันผลสูง 5 กลุ่ม “พลังงานต้นน้ำ-ปิโตรเคมี-แบงก์-อสังหาฯ-สื่อสาร”

นายนิพจน์ ไกรลาศโอฬาร ผู้จัดการอาวุโส บลจ.ทิสโก้ ในฐานะผู้บริหารกองทุน TISCOHD ซึ่งมีขนาดกองทุน 500 ล้านบาท เปิดเผยว่า แม้ว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯจะลดลงต่ำกว่า 1,600 จุด เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าที่ยังไม่รู้จะยุติลงตรงไหน และเงินทุนไหลออกจากตลาดเกิดใหม่หลังเฟดทยอยขึ้นดอกเบี้ย แต่ผู้จัดการกองทุนหุ้นส่วนใหญ่ยังคงถือหุ้น และหาโอกาสทยอยซื้อหุ้นสะสมเพิ่มเติม เพราะปัจจัยพื้นฐานของหุ้นและประเทศไม่ได้เปลี่ยน

“ตอนนี้ผู้จัดการกองทุนส่วนใหญ่มีเงินสดในมือและพร้อมเข้าซื้อหุ้นได้ทันที เพียงแต่ยังรอจุดซื้อกลับ อีกทั้งในช่วงที่ดัชนีฯตกลงมา นักลงทุนได้เข้าซื้อกองทุนรวม กองทุน LTF และRMF เข้ามา ทำให้กองทุนมีเงินเพิ่มขึ้น โดยสิ้นปีนี้ ทิสโก้ฯประเมินว่าดัชนีฯจะยืนที่ 1,840 จุด เพราะปีหน้าเราจะมีการเลือกตั้ง การท่องเที่ยวและการส่งออกยังเติบโตได้ดี ไทยเกินดุล 10% ของจีดีพี โดยเฉพาะการลงทุนในอีอีซีจะเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในระยะถัดไป”นายนิพจน์กล่าว

นิพจน์ ไกรลาศโอฬาร

นายนิพจน์ ระบุว่า ขณะนี้นักวิเคราะห์ไม่สามารถประเมินได้ว่าเงินทุนต่างประเทศจะไหลออกจากตลาดเกิดใหม่อีกเท่าไหร่ และเป็นไปได้ว่าเงินทุนไหลออกรอบนี้อาจลากยาวถึงข้ามปี แต่บลจ.ทิสโก้มั่นใจว่าเงินทุนดังกล่าวคงไม่ไหลกลับไปสหรัฐทั้งหมด และบางส่วนยังรอจังหวะเข้าลงทุนในหุ้นของประเทศที่มีพื้นฐานเศรษฐกิจดีและอัตราเงินเฟ้อต่ำ เช่น ไทย อีกทั้งจะเห็นได้ว่าในช่วงที่ดัชนีฯลดลงมา 1,600 จุด หุ้นไทยที่มีปันผลสูงราคาลดลงน้อยกว่าดัชนีฯด้วยซ้ำ

“หุ้นที่ลงมาเยอะเพราะฟันด์โฟลว์ไหลออก แต่ถ้าฟันด์โฟลว์ไหลกลับมา หุ้นที่เดิมเคยอยู่ที่เท่าไหร่ ก็จะกลับไปอยู่เท่านั้น ซึ่งดัชนีฯที่ลดลงมา 1,600 จุด น่าจะเป็นโอกาสสำหรับการเลือกซื้อกองทุน LTF และRMF เช่น คนที่มีแผนซื้อกองทุนปลายปีอยู่แล้ว ก็น่าจะเปลี่ยนมาซื้อกลางปีก็ได้ เพราะจะซื้อหุ้นในราคาถูกลง”นายนิพจน์กล่าว

นายนิพจน์ กล่าวว่า สำหรับหุ้นที่น่าสนใจลงทุนในช่วงนี้จะเป็นหุ้นปันผลสูงใน SETHD ที่มีการจ่ายเงินปันผลต่อเนื่อง 3-5 ปี ซึ่งมีกลุ่มที่น่าสนใจ 5 กลุ่ม ได้แก่ 1.หุ้นกลุ่มพลังงานต้นน้ำ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มการจ่ายเงินปันผลดีต่อเนื่องจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.หุ้นกลุ่มปิโตรเคมี ที่อัตราการจ่ายปันผลจะยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดีจากสเปรดราคาปิโตรเคมีที่ยังอยู่ในระดับที่สูง

3.หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ แม้ว่าธนาคารพาณิชย์จะได้รับผลกระทบจากรายได้ค่าธรรมเนียมที่ลดลง และการทยอยสำรองหนี้ฯล่วงหน้าก่อนการใช้มาตรฐานบัญชีใหม่ IFRS9 แต่ราคาหุ้นที่ลดลงมาก ทำให้อัตราการจ่ายเงินปันผลเพิ่มเป็น 4% และยังได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยที่อยู่ในช่วงขาขึ้น 4.หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่อัตราการจ่ายเงินปันผลเพิ่มเป็น 5.5-5% ในขณะที่ความต้องการซื้อบ้านยังเติบโตต่อเนื่องตามอุปสงค์ภายในประเทศ

และ5.หุ้นกลุ่มสื่อสาร เช่น ผู้ให้บริหารโทรศัพท์มือถือ อัตราการจ่ายเงินปันผลมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น หลังจากภาระการจ่ายค่าธรรมเนียมใบอนุญาตลดลงในช่วง 6-10 เดือนจากนี้ ในขณะที่รายได้มีความผันผวนต่ำ