หยุด! เก็งกำไร เจอศึกในศึกนอก 6 บล.เฟ้นหุ้นชั้นดีให้ลงทุน

HoonSmart.com>>หุ้นไทยพยายามยืนเหนือ 1,300 จุด แต่ไม่สำเร็จและยังมีโอกาสไหลลงต่อ รอบนี้คาดการณ์ไม่ได้ว่าจะลงไปไกลแค่ไหน ปัจจัยบวกไม่มี ปัจจัยลบมากมายทั้งปัจจัยในประเทศและต่างประเทศ นักลงทุนควรจะทำอย่างไรกันดี…

บล.บัวหลวงมองหุ้นหลุดโซนรับ แต่มูลค่าการซื้อขายไม่ได้เพิ่ม จึงยังไม่น่ากังวล หากหลุดจริงคาดวอลุ่มจะเพิ่มขึ้นมากแน่นอน ถ้ามาแบบนี้อันตราย เตรียมหนีได้เลย

หุ้นลงรอบนี้ กลยุทธ์มองเป็นโอกาสในการซื้อหุ้น แนะนำธีมการลงทุนใหม่ The rebirth of phoenix คัดหุ้นเด่นให้เลือก 10 ตัว ได้แก่ TQM ,OSP ,SAWAD ,GLOBAL ,BDMS, CRC ,MINT, KCE ,IVLและ SCC ซื้อตรงนี้ มีแต้มต่อ แนวโน้มกำไรฟื้นตัวจริง มีโอกาสสร้างผลตอบแทนชนะตลาดได้

“เปิดธีมใหญ่ครั้งใหม่ สำหรับการเลือกหุ้นลงทุนมีการ Recheck เพื่อยืนยันความเชื่อมั่นต่อการฟื้นตัวของกำไรในครึ่งปีหลัง พบว่ายังดีตามที่นักวิเคราะห์ และผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ประมาณการไว้ ขณะที่ราคาหุ้นสะท้อนงบไตรมาส 2/2563ที่แย่ไปมากแล้ว พิจารณาจากราคาหุ้นในปัจจุบันเทียบกับตลาดในช่วงที่ผ่านมา และมูลค่า(PEG, PBV/ROE, PE, PBV) “บล.บัวหลวงกล่าว

ทั้งนี้ตลาดหลักทรัพย์เปิดเผยว่าบจ.ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)ในไตรมาส 2/2563 มีกำไรสุทธิ จำนวน 107,256 ล้านบาท ลดลง 47.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน รวมครึ่งปีแรกทำได้จำนวน 187,901 ล้านบาท ลดลง 58.7% ส่วนบจ.ในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) มีกำไรสุทธิ 338 ลบ. ลดลง 84.9%  รวม 6 เดือนปีนี้กำไร 1,086 ล้านบาท ลดลง 73.0%

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) มองดัชนีหุ้นมีโอกาสปรับลดลงต่อ หลังจากหลุด 1,300 จุด เนื่องจากมีปัจจัยลบทั้งการปรับลดประมาณการกำไรบจ. ของนักวิเคราะห์ที่เริ่มประชุมงบไตรมาส 2 รวมถึงการเมืองทั้งไทยและต่างประเทศ ประเมินแนวรับที่ 1,280 จุด ในการทยอยเข้าสะสม

นอกจากนี้ตลาดยังมีเรื่องของการซื้อขายเริ่มเบาบางลงเรื่อยๆ หุ้นใหญ่ๆยังไม่มีข่าวดี ส่วนหุ้นขนาดกลางถึงแม้จะโดดเด่น แต่ไม่สามารถพยุงดัชนีได้ จึงมองตลาดเป็นช่วงพักฐาน รอปรับฐานใหม่ หลังมูลค่าราคาหุ้นเริ่มตึงตัว

ส่วนปัจจัยบวก คาดหวังเรื่องพัฒนาการของวัคซีนในเดือน ก.ย.63 และการกระตุ้นเศรษฐกิจของทั้งสหรัฐและไทยเอง แนะนำการลงทุนในหุ้นที่กำไรยังเติบโตได้ดี ในหุ้น JMART ที่ราคา 17.60 บาท ,SINGER ที่ 17.70 บาท และ STGT ที่ 90 บาท

ด้านนายสุนทร ทองทิพย์ ผู้อำนวยการอาวุโส บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ให้น้ำหนักปัจจัยการเมืองกดดันหุ้น ทำให้ตลาดในช่วงนี้แกว่งตัวไซด์เวย์ จนกว่าจะมีปัจจัยบวก คาดว่าการพัฒนาวัคซีนในเดือนก.ย.จะเป็นตัวหนุนนำตลาดได้ดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม ดัชนีที่ปรับตัวลงต่ำกว่า 1,300 จุด คงไม่หลุดไปไกลกว่านี้ การเมืองกดดันก็จริง แต่อยากให้มองไปข้างหน้า โดยให้กลยุทธ์วางแนวรับในการทยอยสะสมที่ 1,290-1,280 จุด การเมืองกดดันเศรษฐกิจ ส่งผลค่าเงินบาทอ่อน ทำให้หุ้นส่งออกได้ประโยชน์  แนะนำหุ้นในกลุ่มอาหาร ให้ TU และ ASIAN และกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ให้ KCE และSVI

นายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า หากดัชนีหุ้นไม่สามารถยืนเหนือ 1,305-1,308 จุดได้ คาดว่าหุ้นแกว่งตัวลง พักฐาน ประเมินแนวรับที่ 1,290-1,280 จุด ตลาดมีปัจจัยเสี่ยงมากกว่าปัจจัยบวก ทั้งการเมือง GDP ไตรมาส 2/63 หดตัว-12.2% ส่วนไตรมาส 3 และ 4 จะฟื้นตัวอ่อนๆ และความขัดแย้งสหรัฐฯกับจีนที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ รอพัฒนาการของวัคซีนในเดือน ก.ย.63

แนะนำหุ้นที่เกี่ยวกับกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม ให้หุ้น CPF ที่ราคา 40 บาท ,TU ที่ 18 บาท ,RBF ที่ 11 บาท และ OSP ที่ 51 บาท นอกจากนี้แนะนำทยอยสะสมที่แนวรับ กลุ่มโรงไฟฟ้า กลุ่มโรงพยาบาล กลุ่มสื่อสาร และกลุ่มอุปกรณ์ตกแต่งภายในบ้าน

นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดยังไม่มีแรงหนุนให้ตลาดปรับขึ้น ปัจจัยการเมืองและความขัดแย้งของสหรัฐกับจีน ยังส่งผลกระทบต่อเนื่อง แม้มีความคาดหวังเรื่องวัคซีน และการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ของสหรัฐ รวมถึงไทยเกี่ยวกับการกระตุ้นท่องเที่ยวและบริโภคก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงที่ยังมีอยู่ประเมินแนวรับเชิงเทคนิคที่ 1,270 จุด กับ1,250 จุด เป็นโอกาสในการทยอยเข้าสะสมหุ้น ให้หุ้นเด่นที่รับอานิสงส์จากวัคซีน ได้แก่หุ้น CENTEL ,MINT ,AOT และ CRC