STARK กำไร 440 ลบ. ทะยาน 5,338% ลุยซื้อกิจการหนุนโตแรง

HoonSmart.com>> “สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น” เปิดงบไตรมาส 2/63 กำไรสุทธิ 440 ล้านบาท ทะยาน 5,338% จากงวดปีก่อน หลุังลุยซื้อธุรกิจหนุนเติบโต

บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น (STARK) เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2563 สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.2563 กำไรสุทธิ 440.49 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.018 บาท เพิ่มขึ้น 515 ล้านบาท หรือ 5,338% จากงวดเดียวกันของปีก่อน กำไรสุทธิเพียง 8.10 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 809.65 บาท

งวด 6 เดือนปี 2563 กำไรสุทธิ 701.42 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.029 บาท เพิ่มขึ้น 949 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนมีจำนวน 132.67 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 13,267.03 บาท
ขอใช้อันนี้

บริษัทฯ มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีสาเหตุหลักมาจากการเข้าทำการซื้อธุรกิจแบบย้อนกลับ (Reverse Takeover) ทำให้บริษัทเปลี่ยนการดำเนินธุรกิจหลักจากธุรกิจสื่อและมัลติมีเดีย (ธุรกิจเดิม) เป็นธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานประเภทผลิตและจำหน่ายสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ล ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท เฟ้ลปส์ ดอด์จ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด (PDITL) ตลอดจนการที่บริษัทฯ เข้าลงทุนในธุรกิจการให้บริการด้านทรัพยากรบุคคลและอื่นๆ ของกลุ่มอดิสร (รวมเรียกว่า “ธุรกิจใหม่”)

นอกจากนี้บริษัทฯ เริ่มรับรู้ผลประกอบของบริษัท Thinh Phat Cable Joint StockCompany (TPC) และ Dong Viet Non-Ferrous Metal and Plastic Joint Stock Company (DVN)ซึ่งธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานประเภทผลิตและจำหน่ายสายไฟฟ้าและสายเคเบิ้ลในประเทศเวียดนาม DVN ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.2563 เป็นต้นมา ประกอบกับบริษัทประสบความสำเร็จในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในต่างประเทศ รวมถึงสามารถเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในประเทศไทยได้เพิ่มสูงขึ้นจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ PDITL มีความได้เปรียบคู่แข่งทั้งเชิงราาและคุณภาพ ตลอดจนการให้บริการหลังการขายที่ครบวงจน

ผลดำเนินงานไตรมาส 2/2563 เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยรายได้รวมเพิ่มขึ้นเป็น 4,657 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,570 ล้านบาท คิดเป็น 5,261.6% โดยมีรายได้รวมในงวด 6 เดือนแรกปี 2563 เพิ่มขึ้นเป็น 7,666 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7,498 ล้านบาท คิดเป็น 4,462.4%

บริษัทฯ มี EBITDA เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเป็น 865 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 921 ล้านบาทในไตรมาส 2/2563 และมี EBITDA ในงวด 6 เดือนแรกปี 2563 เท่ากับ 1,375 ล้านบาทหรือ เพิ่มขึ้น 1,553 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามที่บิรษัทฯ ได้เข้าซื้อ TPC และ DVN แล้วเสร็จ ณ วันที่ 31 มี.ค.2563 ส่งผลให้งบการเงินประจำไตรมาสที่ 1 และ 2 ปี 2563 จะแสดงฐานะทางการเงินของ TPC และ DVN ด้วย นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้รับการสนับสนุนเงินกู้จากสถาบันการเงินในการเข้าลงทุนดังกล่าว ส่งผลให้หนี้สินที่มีดอกเบี้ย (Interest bearing debt) เพิ่มขึ้นประมาณ 8,700 ล้านบาท โดยเงินกู้ดังกล่าวได้ถูกจัดให้เป็นเงินกู้ยืมระยะสั้น เนื่องจากเป็นวงเงินประเภท Bridging เพื่อเข้าซื้อกิจการเท่านั้น

ภายหลังครบเทอมเงินกู้ Bridging ดังกล่าว บริษัทฯ ได้เจรจากับธนาคารเพื่อเปลี่ยนเป็นเงินกู้ระยะยาว (Long Term Loan) นอกจากนั้น อัตราการกู้ยืมของบริษัทฯ ลดลงจาก 6.07 เท่า เป็น 4.59 เท่า ภายหลังที่บริษัทได้เริ่มรับรู้ผลการดำเนินงานของ TPC และ DVN ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.2563 เป็นต้นมา

อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าการลงทุนดังกล่าวจะช่วยสร้างการเติบโตในระยะยาว ทั้งในด้านการแข่งขันในภูมิภาค การมีผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมมากขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ ตลอดจนสร้างกระแสเงินสดที่เพิ่มขึ้นและเพียงพอในการดำเนินธุรกิจต่อไปอย่างยั่งยืน