SCC มองครึ่งปีหลังธุรกิจท้าทายเดินหน้าลงทุน รอประเมินภาวะก่อนไอพีโอ SCGP

HoonSmart.com>> “ปูนซิเมนต์ไทย” มองธุรกิจครึ่งปีหลังยังมีความท้าทาย คาดปูนซิเมนต์ยังชะลอตัว ธุรกิจเคมีคอลส์ เน้นพัฒนาสินค้าไฮมาร์จิ้น ส่วนธุรกิจแพคเกจจิ้ง ปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีความคล่องตัวมากขึ้น ทั้งในประเทศไทยและในอาเซียน พร้อมเดินหน้าลงทุนหลังครึ่งปีแรกลงทุนเพียง 2.2 หมื่นล้านบาท ด้านความคืบหน้า SCGP เข้าตลาดหลักทรัพย์ รอประเมินสถานการณ์ ความเชื่อมั่นนักลงทุน

รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส

นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) เปิดเผยว่า กลยุทธ์ในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 มองว่าผลกระทบโควิด-19 ยังมีอยู่ต่อเนื่อง ความท้าทายค่อนข้างมาก ต้องรอติดตามการระบาดในระยะที่ 2 ต่อว่ามีความรุนแรงมากน้อยเพียงใด สำหรับธุรกิจแพคเกจจิ้ง บริษัทฯดำเนินการใช้วิธีการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีความคล่องตัวมากขึ้น ทั้งในประเทศไทยและในอาเซียน และปรับปรุประสิทธิภาพ รวมถึงการทำงานรวมกับลูกค้าของแต่ละกลุ่มธุรกิจ เพื่อสามารถเสนอการบริการในลักษณะบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรได้มากขึ้น หวังช่วยหนุนบริษัทโตได้อย่างต่อเนื่อง

ขณะที่ธุรกิจซิเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง คาดว่าความต้องการสินค้าส่วนหนึ่ง ที่รองรับการลงทุนจากต่างประเทศ เพื่อการท่องเที่ยวจะลดลง เนื่องจากนักลงทุนต่างประเทศชะลอการลงทุน แต่ภาครัฐคาดว่าจะยังดำเนินการต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้เดินต่อ ส่วนที่การก่อสร้างทั้งโครการแนวราบและแนวสูงในประเทศจะชอตัว

ด้านธุรกิจเคมีคอลส์ ได้รับผลกระทบค่อนข้างมากในช่วงก่อนหน้านี้ แต่บริษัทได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนอยู่ตลอด ทำให้สามารถสร้างการเติบโตในธุรกิจนี้ได้ดี โดยยังต้อติดตามด้านราคาต้นทุนของสินค้าต่อ และความต้องการของตลาดว่าจะไปทิศทางไหน โดยบริษัทฯจะทำการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่มีความสามารถในการทำกำไรที่ดี ออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อการเติบโตที่ดีในอนาคต

สำหรับงบลงทุนปี 2563 อยู่ที่ประมาณ 55,000-65,000 ล้านบาท โดยประมาณ 50% จะเป็นการใช้เพื่อก่อสร้างโครงการปิโตรเคมีที่เวียดนาม จากครึ่งปีแรกใช้ไปแล้ว 22,193 ล้านบาท ส่วนที่เหลือใช้ขยายกำลังการผลิต และการเข้าซื้อกิจการ นอกจากนี้มีแผนออกหุ้นกู้เพื่อทดแทนหุ้นกู้เดิมที่จะหมดอายุในสิ้นปีนี้ รวมถึงศึกษาการออกกรีนบอนด์

ส่วนแผนนำบริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน ปัจจุบันได้รับอนุมัติจากก.ล.ต.แล้ว แต่ยังต้องประเมินภาพรวมเศรษฐกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ จากการที่แต่ละประเทศได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ประเมินภาวะตลาดเงินตลาดทุน รวมถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุน

ส่วนการดำเนินการตามแผนการขยายธุรกิจในการควบรวมกิจการกับพันธมิตรในประเทศอินโดนีเซีย และการวางแผนการลงทุนในเวียดนาม ที่จะช่วยเสริมธุรกิจให้มีการเติบโตครอบคลุมทั่วภูมิภาคอาเซียน แต่ด้วยธุรกิจแพคเกจจิ้งมีโรงงานตั้งอยู่ในหลายๆประเทศ บางประเทศได้รับผลกระทบโควิด เช่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย จากจำนวนประชากรที่มาก ทำให้การควบคุมเป็นไปได้ยาก

อ่านข่าว

SCC กำไร 9.4 พันลบ. Q2/63 โต 33% ปันผล 5.50 บาท XD 13 ส.ค.นี้