‘หยวนต้า’ คาด 12 เดือน mai วิ่ง 15-20% คัด 7 หุ้นเล็ก-กำไรโต

HoonSmart.com>> “บล.หยวนต้า” ประเมินตลาด mai มีโอกาสปรับตัวขึ้น 15-20% ใน 12 เดือนข้างหน้า คัด 7 หุ้นเล็กกำไรโต ได้ประโยชน์มาตรการรัฐ “STI, TACC, ARROW, AMA, JKN, 2S, SELIC” ย้ำสภาพคล่องหุ้นน้อย ให้น้ำหนักเพียง “เก็งกำไร”

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หยวนต้า (ประเทศไทย) ออกบทวิเคราะห์ “7 หุ้นเล็ก กำไรโต ตลาดmai ” โดยมองหุ้นใน mai ปรับตัวขึ้นเด่นในปีนี้ โดยตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (YTD) เหลือลบเพียง -1% เทียบกับ SET INDEX ที่ยังลบราว -13% YTD ปัจจัยหนุนสำคัญมาจากสภาพคล่องที่สูง และ Valuation ที่อยู่ในโซนต่ำเมื่อเทียบกับอดีต

ตลาด MAI กลับมาคึกคัก และยังน่าสนใจกว่า SET นับตั้งแต่ มี.ค.63 ที่เป็น Bottom ของตลาดในช่วง COVID-19 พบพัฒนาการเชิงบวกใน MAI 6 ด้าน ซึ่งทำให้คาดหวังได้ว่า mai จะ Outperform SET ในอีก 6-12 เดือนข้างหน้า

(1) มูลค่าการซื้อขายรายเดือนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เป็น 2.4% ของ SET จากเพียง 0.6% ใน มี.ค. 63 สะท้อนความน่าสนใจของหุ้นใน MAI ที่เร่งตัวขึ้น

(2) อัตราส่วนดัชนีระหว่าง mai / SET เพิ่มขึ้นเป็น 22.4% จาก19.2% ใน มี.ค. 63 สะท้อนหุ้นใน mai เริ่มกลับมา Outperform หุ้นใน SET

(3) Spread P/BV ระหว่าง mai-SET อยู่ที่ -0.10 เท่า โดย P/BV ของ mai อยู่ที่ 1.40 เท่า ยังต่ำกว่า SET ที่ 1.49 เท่า ซึ่งถือเป็นโซนด้านล่างเมื่อเทียบกับอดีต สะท้อนว่า Valuation ของ mai ยังไม่แพง

(4) Spread Dividend Yield กว้างขึ้นต่อเนื่องเป็น -0.8% โดยอัตราผลตอบแทนปันผล- Dividend Yield ของ mai อยู่ที่ 2.9% ของ SET อยู่ที่ 3.7% แม้ mai ให้ปันผลน้อยกว่า SET แต่ส่วนต่างแคบลงมาก

(5) Spread ROE สูงสุดในรอบ 28 เดือน ล่าสุดอยู่ที่ -1.5% โดย ROE ของ mai อยู่ที่ 6.6% ส่วนของ SET อยู่ที่ 8.1% แม้ mai ยังให้ ROE น้อยกว่า SET แต่ส่วนต่างแคบลงมาก

6) Spread GPM สูงสุดในรอบ 14 ไตรมาส ล่าสุดอยู่ที่ 4.4% โดยอัตรากำไรขั้นต้นของ mai อยู่ที่ 21.6% ส่วนของ SET อยู่ที่ 17.2% สภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจล้นเหลือ ทำให้เงินมีโอกาสไหลทะลักเข้า mai

บล.หยวนต้า คาดว่า แนวโน้มmai ยังมีโอกาส Outperform ในช่วง 6-12 เดือนข้างหน้า เพราะ Spread P/BV และ Spread Dividend Yield หรือส่วนต่างในเชิง Valuation ระหว่าง mai และ SET ยังสะท้อนว่า MAI อยู่ในโซนถูก และเมื่อพิจารณาจากปัจจัยสภาพคล่อง โดยเทียบมาร์เก็ตแคป กับปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ บล.หยวนต้า คาดว่า mai  มีโอกาสปรับตัวขึ้นได้อีก 15-20% ใน 12 เดือนข้างหน้า ขณะที่คุณภาพในการทำกำไรของmai ดีขึ้นเป็นลำดับ

นอกจากนี้ นโยบายการคลังที่จะเน้นกระตุ้นธุรกิจขนาดกลาง-เล็กมากกว่าขนาดใหญ่ ทำให้คาดว่าดัชนีหุ้น mai ยังมีโอกาส Outperform SET INDEX

อย่างไรก็ตามหุ้นใน mai หลายตัวเป็นหุ้นที่บล.หยวนต้ายังไม่ได้ Cover มีสภาพคล่องในการซื้อขายที่ไม่สูง จึงแนะนำในเชิงกลยุทธ์ โดยให้น้ำหนักเพียง “เก็งกำไร” และคัดเลือกหุ้นจากแนวโน้มผลประกอบการที่โตต่อเนื่องและ Valuation ยังไม่แพง โดยกำไรไตรมาส 1/63 ต้องมากกว่า 25% ของกำไรทั้งปีที่ผ่านมา และแนวโน้มไตรมาส 2/63 ยังมีการเติบโต YoY รวมถึง ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐฯ ซึ่งได้แก่ STI, TACC, ARROW, AMA, JKN, 2S, SELIC

สำหรับ STI แนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสมเบื้องต้นประเมินที่ 10.00-11.00 บาท

-คาดแนวโน้มกำไร 2Q63 จะเติบโตเด่นทั้ง QoQ และ YoY จากการรวมงบกับบริษัท เอเชียน เอ็นจิเนียริ่ง คอนซัลแต้นส์ และคาดกำไรทั้งปี 2563 โตสูง 50-55% YoY เป็น 130-135 ล้านบาท เพราะเร่งปิดงานทั้งของตัวเองและบริษัทลูกได้ต่อเนื่อง เช่น One Bangkok, โครงการปรับปรุงศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์, และโครงการพัฒนาพื้นที่ส่วนขยายศูนย์ราชการ โซน C เป็นต้น

-ขณะที่การรวมงบกับเอเชียน เอ็นจิเนียริ่ง คอนซัลแต้นส์ จะช่วยให้เกิด Synergy และเพิ่มโอกาสในการรับงานภาครัฐ ที่คาดจะเร่งอนุมัติมากขึ้นใน 2H63 ซึ่งจะเข้ามาช่วยเติม Backlog ปัจจุบันที่สูงราว 4.5 พันล้านบาท

– ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายบน PER2563-64 เพียง 8-11 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มที่ปรึกษาและรับเหมาก่อสร้างที่ 15-25 เท่า และมีปันผลสูง

– ประเมินราคาเหมาะสมปี 2564 โดยอิงคาดการณ์กำไรต่อหุ้นที่ 0.71-0.75 บาท (โต 40-50% YoY) และ PER เฉลี่ยของกลุ่มที่ปรึกษางานก่อสร้างที่ 15 เท่า ได้ช่วงคาดการณ์ที่ 10-11 บาท

TACC – แนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสมปี 2564 เท่ากับ 7.20 บาท

– คาดกำไรปกติ 2Q63 โตทั้ง QoQ และ YoY จากการคุมค่าใช้จ่าย และแนวโน้มช่วงที่เหลือของปี มีโอกาสทำ New High จาก 7-11 ที่กลับมาเปิดให้บริการ 24 ชม. ตามปกติ

– อาจมี Positive Surprise จากการ M&A ที่จะถูกนำมาพิจารณาอีกครั้ง หลังล่าช้าเพราะสถานการณ์ COVID-19 ขณะที่ ธุรกิจ 7-11 ในกัมพูชาจะช่วยเปิด Upside จากการขยายตัวในอัตราเร่ง

– ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายบน PER2563-64 ที่ 18.5 เท่าและ 15.3 เท่า ตามลำดับ ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังที่ 21 เท่า และมีผลตอบแทนจากเงินปันผล 4-5% ต่อปี

ARROW – แนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสมปี 2564 เท่ากับ 10.00 บาท

– คาดกำไรปกติ 2Q63 โตชะลอ QoQ ตามปัจจัยฤดูกาล แต่มีแนวโน้มโต YoY จากการการทยอยส่งมอบท่อร้อยสายไฟให้งานโครงสร้างพื้นฐาน โดย Backlog ปัจจุบันยังสูงราว 1.1 พันลบ.

– คาดเห็นการสั่งซื้อท่อร้อยสายไฟเร่งตัวขึ้น เพราะงานก่อสร้างรถไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐานอื่นยังเป็นปกติ ขณะที่ การกำหนดราคาขายแบบ Cost-plus จะเป็นตัวเร่งความต้องการในช่วงที่ราคาเหล็กพุ่งสูงขึ้น

– ประเมินกำไรสุทธิปีนี้ที่ 220 ลบ. +7% YoY และปีหน้า 240 ลบ. +9% YoY ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายบน PER2563-64 เพียง 8 เท่าและ 7 เท่า ตามลำดับ ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังที่ 13 เท่า และมีผลตอบแทนจากเงินปันผล 7-8% ต่อปี

– ประเมินราคาเหมาะสมปี 2564 โดยอิงคาดการณ์กำไรต่อหุ้นที่ 0.94 บาท และ PER ที่ 11 เท่า (ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอดีตที่ 13 เท่า) ได้เท่ากับ 10.00 บาท

SELIC – แนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสมปี 2564 เท่ากับ 3.00 บาท

– แนวโน้มกำไร 2Q63 ทรงตัว QoQ และ YoY โดยกลุ่มสติกเกอร์ได้ประโยชน์จาก COVID-19 เพราะใช้ทั้งบรรจุภัณฑ์และใช้ติดเสื้อเพื่อเป็นสัญลักษณ์การตรวจไข้ แต่ถูกถ่วงเล็กน้อยจากยอดส่งออกกาวที่ชะลอ

– แนวโน้ม 2H63 จะเด่นขึ้น จาก (1) สติกเกอร์ติดสลากบรรจุภัณฑ์ของกลุ่มอาหารและเครื่อมดื่มยังโตต่อเนื่อง (2) ยอดส่งออกกาวมีแนวโน้มฟื้นตัว จากเงินบาทที่อ่อนค่าและการคลาย Lockdown ของประเทศคู่ค้า

– ประเมินราคาเหมาะสมปี 2564 โดยอิงคาดการณ์กำไรต่อหุ้นที่ 0.30 บาท +11% YoY (รวมหุ้นปันผลที่ 40 ล้านหุ้น ทำให้จำนวนหุ้นเพิ่มเป็น 330 ล้านหุ้นแล้ว) และ PER ที่ 10 เท่า (ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอดีตที่ 30 เท่า) ได้เท่ากับ 3.00 บาท

JKN – แนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสมปี 2564 เท่ากับ 6.90 บาท

– แนวโน้มกำไร 2Q63 เติบโตสวนอุตสาหกรรมโฆษณาที่ติดลบ และปี 2564 คาดยังเติบโตต่อเนื่องตามแผนการรุกตลาดต่างประเทศมากขึ้น

– มีประเด็นบวกจากแผนย้ายเข้าไปซื้อขายใน SET INDEX

– ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายบน PER256 ที่ 13 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ที่ 25 เท่า