KTC กำไรครึ่งปีนี้ 2,790 ลบ.ลด 4% เล็งปรับโมเดลธุรกิจหวังโตยาว

HoonSmart.com>>บริษัทบัตรกรุงไทยฝ่าล็อกดาวน์-มาตรฐานบัญชีใหม่ TFRS ไตรมาส 2/63 กำไร 1,149 ล้านบาท ลดลง 14%  ครึ่งปีแรกพอร์ตลูกหนี้ขยายตัว 8.3%  NPLs อยู่ที่ 6.6% เล็งส่ง “พี่เบิ้ม” กลุ่มสินเชื่อที่มีหลักประกัน รุกตลาดควบคู่สินเชื่อพิโก้และนาโนไฟแนนซ์ หนุนครึ่งปีหลังโต  สร้างโอกาสทางธุรกิจในระยะยาว หนุนภาครัฐช่วยสมาชิก ปรับลดดอกเบี้ย-ค่าธรรมเนียมรวมให้ลูกหนี้บัตรเครดิต-สินเชื่อบุคคลเริ่ม  1 ส.ค. 2563 เป็นต้นไป

บริษัท บัตรกรุงไทย(KTC) รายงานผลดำเนินงานงวดไตรมาสที่ 2/63 มีกำไรสุทธิ 1,149 ล้านบาท ลดลงจำนวน174 ล้านบาท คิดเป็นประมาณ 13.15% จากที่มีกำไรสุทธิ 1,323.27 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน และรวม 6 เดือนแรกปี 63 มีกำไรสุทธิ  2,790.30 ล้านบาท ลดลง 122 ล้านบาท หรือประมาณ 4% จากที่มีกำไรสุทธิ 2,912.69 ล้านบาทในช่วงเดียวกันปีก่อน

นายระเฑียร ศรีมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บัตรกรุงไทย (KTC) กล่าวว่า การดำเนินงานของ KTC ในไตรมาสที่ 2 และครึ่งแรกของปี 2563 ยังคงความสามารถในการหารายได้และสร้างผลกำไร แม้จะมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 และล็อกดาวน์ จนส่งผลกระทบกับคุณภาพสินทรัพย์และปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรลดลงอย่างมีนัยสำคัญก็ตาม หากสถานการณ์ดีขึ้นและผ่อนคลายมาตรการลง ผู้บริโภคเริ่มกลับมาใช้จ่ายดีขึ้น

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีแรกมีปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรลดลง 9.6% คิดเป็นมูลค่ารวม 90,613 ล้านบาท ซึ่งมีอัตราที่ดีกว่าอุตสาหกรรมในช่วงระยะเวลา 5 เดือน ประกอบกับบริษัทให้ความสำคัญกับการควบคุมค่าใช้จ่ายทางการเงิน และการบริหารคุณภาพพอร์ตลูกหนี้มาอย่างต่อเนื่อง ทำให้รายได้หนี้สูญได้รับคืนอยู่ในระดับที่น่าพอใจ และพอร์ตลูกหนี้ยังคงขยายตัว

แนวโน้มครึ่งปีหลังธุรกิจยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากสถานการณ์เศรษฐกิจที่ชะลอตัว และอาจมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นหากมีการแพร่ระบาดอย่างรุนแรงของเชื้อโควิด-19 อีกครั้ง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการจ้างงาน ความสามารถในการชำระหนี้ หรือการเพิ่มขึ้นของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) อีกทั้งการประกาศใช้มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ของธปท. ในระยะที่ 2 ที่ปรับลดเพดานดอกเบี้ย ทั้งธุรกิจบัตรเครดิต 2% และธุรกิจสินเชื่อบุคคล 3% ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อผลการดำเนินงานของบริษัทฯ

“บริษัทฯ เชื่อว่าไตรมาส 2 จะได้รับผลกระทบด้านคุณภาพสินทรัพย์มากที่สุดแล้ว นักลงทุนไม่ควรนำผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรก มาเป็นฐานในการประมาณการผลงานในครึ่งปีหลัง ฝ่ายจัดการจะปรับเปลี่ยนโมเดลทางธุรกิจให้ตอบสนองต่อสภาพการเปลี่ยนแปลงทั้งของเศรษฐกิจและของอัตราดอกเบี้ยรับที่ลดลง โดยจะให้ความสำคัญกับการขยายตัวของสินเชื่อ “พี่เบิ้ม” ในส่วนที่เป็นสินเชื่อที่มีหลักประกัน อาทิ สินเชื่อจำนำทะเบียนทั้งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ควบคู่กับการขยายสินเชื่อ “พิโก้ ไฟแนนซ์” และ “นาโน ไฟแนนซ์” ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีโอกาสสร้างการเติบโตได้ในระยะยาว”นายระเฑียรกล่าว

สำหรับผลงาน 6 เดือนแรกปีนี้ ตามมาตรฐานบัญชีใหม่ TFRS 9 รายได้ดอกเบี้ยรวม (รวมค่าธรรมเนียมในการใช้วงเงิน)โต 10% คิดเป็นมูลค่า 7,247 ล้านบาท สัดส่วนค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่อรายได้รวมลดเหลือ 31.0% เนื่องจากการลดกิจกรรมการตลาด และ NPLs อยู่ที่ 6.6% เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้และดอกเบี้ยค้างรับรวม (ยอดลูกหนี้การค้ารวม) เท่ากับ 83,486 ล้านบาท

ทางด้านฐานสมาชิกรวม 3.5 ล้านบัญชี เพิ่มขึ้น 3.8%  แบ่งเป็นพอร์ตสมาชิกบัตรเครดิต 2,605,461 บัตร (เพิ่มขึ้น 8.3%) เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้บัตรเครดิตและดอกเบี้ยค้างรับรวม (ยอดลูกหนี้บัตรเครดิต) 53,242 ล้านบาท ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเท่ากับ 90,613 ล้านบาท ลดลง 9.6% NPL บัตรเครดิตตามมาตรฐานใหม่ TFRS 9 อยู่ที่ 5.6% พอร์ตสมาชิกสินเชื่อส่วนบุคคลเคทีซี (รวมสินเชื่อธนวัฏและสินเชื่อเจ้าของกิจการ) เท่ากับ 932,112 บัญชี (ลดลง 7.1%) จากการปิดบัญชีที่ไม่เคลื่อนไหว เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้สินเชื่อบุคคลและดอกเบี้ยค้างรับรวม (ยอดลูกหนี้สินเชื่อบุคคล) 30,244 ล้านบาท NPL สินเชื่อบุคคลตามมาตรฐานใหม่ TFRS 9 อยู่ที่ 8.5%

นอกจากนี้ ตามมาตรฐานใหม่ TFRS 9 บริษัทฯ ยังสามารถทำรายได้รวมครึ่งปี 63 อยู่ในระดับใกล้เคียงเดิมกับช่วงเดียวกันของปีก่อน  จากรายได้ดอกเบี้ยลูกหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล เท่ากับ 7,247 ล้านบาท และมีรายได้ค่าธรรมเนียม (ไม่รวมค่าธรรมเนียมการใช้วงเงิน) เท่ากับ 2,152 ล้านบาท สำหรับค่าใช้จ่ายรวมอยู่ที่ 7,595 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าใช้จ่ายบริหารงาน 3,430 ล้านบาท ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (หนี้สูญ 376 ล้านบาท และหนี้สงสัยจะสูญ 3,016 ล้านบาท) เท่ากับ 3,392 ล้านบาท และต้นทุนทางการเงิน 773 ล้านบาท”

นายระเฑียรกล่าวว่า บริษัทฯ ได้ช่วยเหลือด้านสินเชื่อให้กับลูกหนี้ เพื่อสนับสนุนมาตรการของกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อย่างเต็มที่และต่อเนื่อง ได้แก่ 1.ปรับลดอัตราผ่อนชำระของบัตรเครดิตจากเดิม 10% เหลือ 5% ตั้งแต่เดือนเม.ย.63-ปี2564  และ 8%  ในปี 2565  และ10% ในปี 2566 เป็นต้นไป ส่วนลูกหนี้สินเชื่อบุคคล “เคทีซี พราว” (KTC PROUD) ปัจจุบันได้รับอัตราผ่อนชำระขั้นต่ำ 3% ซึ่งอยู่ในแนวทางการให้ความช่วยเหลืออยู่แล้ว

นอกจากนี้ยังให้ความช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 เช่น การเปลี่ยนสินเชื่อเป็นระยะยาว การเลื่อนชำระค่างวดหรือเงินต้น การลดค่างวด เป็นต้น โดยขยายเวลาการให้ความช่วยเหลือไปสิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.63 โดยมีกลุ่มลูกหนี้เข้าร่วมปรับโครงสร้างหนี้ภายใต้มาตรการช่วยเหลือของบริษัทฯ ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2563 เท่ากับ 4,000 ราย คิดเป็นมูลค่าหนี้ประมาณ 300 ล้านบาท และมียอดลูกหนี้ที่ขอพักชำระหนี้99 ราย และ 3.ปรับลดเพดานดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินใหม่ ตามอัตราที่ธปท.กำหนด โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. 2563 เป็นต้นไป”