บล.ทิสโก้เตือนทำใจพลังงาน กำไรสต็อกต่ำ เชียร์ PTTGC

HoonSmart.com>>บล.ทิสโก้วิเคราะห์กลุ่มพลังงาน ตลาดอาจจะผิดหวังกำไรไตรมาส 2/63 โรงกลั่นมีโอกาสลดลง จากกำไรสต็อกที่อาจน้อยกว่าคาด ส่วนปิโตรเคมีทรงตัว  แนะนำซื้อ PTTGC เป้าหมาย 54  บาท ส่วนบล.เคจีไอให้ถือ มูลค่าเหมาะสม 51 บาท

บล.ทิสโก้คาดผลประกอบการงวดไตรมาส 2/63 ของกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีอาจทำให้ตลาดผิดหวัง ผลกระทบจากกำไรของสต็อก (รวมการบันทึกกลับ NRV) อาจน้อยกว่าที่คาด แม้ว่าราคาน้ำมันดิบจะฟื้นตัว (ราคาน้ำมันดิบ เบรนท์ เพิ่มขึ้น 57% จากไตรมาสแรก) ในขณะเดียวกันกลุ่มโรงกลั่นและปิโตรเคมีจะอ่อนแอลง คาดว่าผลประกอบการรวมปกติของกลุ่มจะลดลง 18% จากไตรมาสแรก และ 51% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน และผลประกอบการจะเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ขาดทุน 2.5 หมื่นล้านบาท เป็น 3.4 หมื่นล้านบาท และยังคงลดลง 33%

กลุ่มโรงกลั่น คาดว่าจะดีที่สุดในไตรมาส 2 และมีความเสี่ยงในเชิงลบ เนื่องมาจากกำไรสต็อกที่อาจน้อยกว่าคาด เนื่องจากผลขาดทุนในเดือน เม.ย. ก่อนที่จะกลับมาดีขึ้นในเดือน พ.ค. – มิ.ย. หลังปริมาณสำรองลดลงในช่วงที่ราคาฟื้นตัว อีกทั้งอัตรากำไรถูกกดดันจากการปิดภาคเศรษฐกิจ ด้านราคากลางที่สิงคโปร์ลดลงจาก 1.25 ดอลลาร์/บาร์เรล เป็นติดลบ 0.94 ดอลลาร์ในไตรมาส 2 มีเพียง Crude Premium ที่ลดลงเป็นปัจจัยบวก แต่ได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้วเช่นกัน หลังจากที่ Arab Light ASP เพิ่มขึ้นกว่า 6 ดอลลาร์ในไตรมาสที่ 3

กลุ่มปิโตรเคมี คาดผลประกอบการคงที่ ได้ปัจจัยบวกจากราคาของแนฟทาร์ที่ลดลง และอัตรากำไรที่เพิ่มขึ้นสำหรับ SCC, อัตราการผลิตของ PTTGC ที่เพิ่มขึ้นชดเชยด้วยราคาขายที่ลดลง หลังจากที่มีการปิดโรงงานในไตรมาสแรก ด้านราคาของ PE ปรับตัวลดลง 9 – 11% จากไตรมาสแรก ในช่วงไตรมาส 2 และด้านของต้นทุน Condensate ที่ต่ำ และราคาขายที่เพิ่มขึ้นเป็นปัจจัยหนุนอโรเมติกส์ การดำเนินงานของ IVL จะดีขึ้นจากการเพิ่มกำลังการผลิต 20% จากไตรมาสแรก ใน PET แต่การฟื้นตัวยังทำได้จำกัด จากราคาของ MEG และอัตรากำไรที่ถูกจำกัด

“แนะนำให้ “ซื้อ” PTTGC โดยมีมูลค่าที่เหมาะสม 54 บาท  P/BV 0.8 เท่าสำหรับประมาณการปีนี้” บล.ทิสโก้ระบุ

บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) แนะนำให้ถือ PTTGC ราคาเป้าหมาย 51 บาท คาดกำไรสุทธิไตรมาส 2 จะอยู่ที่ 1.6 พันล้านบาท ดีขึ้น จากไตรมาสแรกขาดทุนสุทธิ 8.8 พันล้านบาท แต่ลดลง 27% จากช่วงเดียวกันปีก่อนเพราะราคา HDPE/LLDPE/LPDE ลดลง 19-30% เหลือแค่  760/754/866  เหรียญสหรัฐ/ตัน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบสิบปี เพราะถูกกดดันจากกำลังการผลิตใหม่ที่เพิ่มเข้ามามาก และราคาน้ำมันดิบที่ต่ำเนื่องจากสงครามราคาน้ำมันโลกในช่วงเดือนมี.ค.-เม.ย.

ส่วนผลประกอบการที่ดีขึ้นจากไตรมาสแรกเป็นเพราะผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมันสุทธิลดลง (รวมผลขาดทุนจากการกลับรายการ NRV) 1 พันล้านบาท จากที่มีผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมันสุทธิถึง 8.9 พันล้านบาทในไตรมาสแรก  ส่งผลให้กำไรจากธุรกิจโรงกลั่นเพิ่มขึ้น ถึงแม้เราจะคาดว่า base GRM ของ PTTGC จะลดลงถึง 36% จากไตรมาสแรกเหลือ 2.3 เหรียญ/บาร์เรล ในขณะที่เชื่อว่า spread ของโรงกลั่นในเอเซียจะได้อานิสงส์จากเหตุระเบิดของ RDS#2 ที่โรงกลั่น Mailiao ซึ่งมีกำลังการผลิตสูงถึง 540KBD เมื่อวันที่ 15 ก.ค. ซึ่งน่าจะต้องปิดซ่อมบำรุงอุปกรณ์ที่เสียหายอย่างน้อยสามเดือน

ประเมินว่ากำไรจากธุรกิจ olefins และ aromatics จะเพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรก เนื่องจากอัตราการใช้กำลังการผลิต olefins จะเพิ่มขึ้น จาก 81% เป็น 100% เนื่องจากไม่มีการปิดซ่อมบำรุงตามแผนเป็นเวลานานกว่าหนึ่งเดือนเหมือนกับในไตรมาสแรก ในขณะที่ spread ของ PX-over-condensate เพิ่มขึ้น 4% เป็น 272 เหรียญ/ตัน ใน ไตรมาส 2