ดาวโจนส์ปิดลบ 39 จุด วิตกโควิดระบาดรอบสอง

HoonSmart.com>>ดาวโจนส์ปิดลบ 39 จุด ยื่นรับสวัสดิการว่างงานแย่กว่าที่คาด วิตกไวรัสโควิด-19 ระบาดรอบสอง “ทรัมป์”ยันจะไม่มีการสั่งให้ธุรกิจหยุดให้บริการอีก จีนประกาศสามารถควบคุมการระบาดในกรุงปักกิ่งได้แล้ว ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น 

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปิดตลาดวันที่ 18 มิถุนายน 2563 ที่ 26,080.10 จุด ลดลง 39.51 จุด หรือ 0.15% จากข้อมูลตลาดการยื่นรับสวัสดิการว่างงานแย่กว่าที่คาดและจากความกังวลต่อจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 กับผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่เพิ่มขึ้นในหลายรัฐ แต่มีแรงซื้อในกลุ่มพลังงานและกลุ่มสินค้าบริโภคที่จำเป็นส่งผลให้ดัชนี S&P 500 และดัชนี Nasdaq ปรับตัวเพิ่มขึ้น

ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,115.34 จุด เพิ่มขึ้น 1.85 จุด, +0.06%

ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 9,943.05 จุด เพิ่มขึ้น 32.52 จุด, +0.33%

กระทรวงแรงงานเผยการยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในสัปดาห์ที่แล้วมีจำนวน 1.5 ล้านรายสูงกว่า 1.3 ล้านรายที่นักวิเคราะห์คาด แม้ลดลงติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 11 แต่เป็นการลดลงอย่างช้าๆ เพราะความต้องการที่ยังอ่อนตัวและห่วงโซ่อุปทานยังไม่เชื่อมต่อกันดีนัก ทำให้กังวลว่าอาจจะมีการปลดพนักงานรอบสองและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะยืดเยื้อคาด ทั้งนี้จำนวนการยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานโดยรวมจากการระบาดของไวรัวโควิด-19 สูงกว่า 48 ล้านราย

ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาฟิลาเดลเฟีย เผยดัชนีภาวะธุรกิจในภูมิภาคมิด-แอตแลนติกเดือนมิถุนายนเพิ่มขึ้นมาที่ระดับ 27.5 จากระดับ -43.1 ในเดือนพฤษภาคม ส่วน Conference Board เผย ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ Leading Economic Index (LEI) เดือนพฤษภาคมเพิ่มขึ้นขึ้น 2.8% มาที่ระดับ 99.8

อย่างไรก็ตามนักลงทุนยังวิตกต่อผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รายใหม่กับผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นในหลายรัฐ ที่ฟลอริดามีผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รายใหม่กว่า 2,600 ราย ส่วนที่อริสโซนามีจำนวนกว่า 1,800 ราย ขณะที่รัฐบาลท้องถิ่นหลายแห่งยังคงเดินหน้าป่อนคลายล็อกดาวน์ โดยรัฐนิวยอร์กกลังเข้าสู่การผ่อนคลายระยะที่สองที่อนุญาตให้ร้านอาหารที่นั่งด้านนอก ร้านค้าปลีก และร้านตัดผมเปิดให้บริการ

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กล่าวเมื่อเย็นวันพุธว่า จะไม่มีการสั่งให้ธุรกิจหยุดให้บริการอีก

นักวิเคราะห์ระบุว่า ต้องเกาะติดสถานการณ์การระบาดรอบสองในจีน หากรุนแรงกว่าที่คาด จะมีผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานของโลกและกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ แม้เมื่อคืนนี้จีนประกาศว่าสามารถควบคุมการระบาดในกรุงปักกิ่งได้แล้ว

หุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มสินค้าผู้บริโภคเพิ่มขึ้น โดยหุ้นอ็อคซิเดนเชียล ปิโตรเลียมเพิ่มขึ้น 3.3% หุ้นเอ็กซอน โมบิล เพิ่มขึ้น 0.64% หุ้นเชฟรอน เพิ่ม 0.44% หุ้นพรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล เพิ่มขึ้น 1.14 % หุ้นเป๊ปซี่โค เพิ่มขึ้น 0.77% หุ้นโคคา-โคลา เพิ่มขึ้น 0.9%

แต่หุ้นกลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากการคลายมาตรการล็อกดาวน์ลดลง โดยหุ้นอเมริกัน แอร์ไลน์ ลดลง 2.89% หุ้นเซาท์เวสต์ แอร์ไลน์ ลดลง 1.32% หุ้นคาร์นิวัล คอร์ป ลดลง 1.41%

ตลาดหุ้นยุโรปส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง จากที่ขานรับรายงานจีนประกาศว่าสามารถควบคุมการระบาดในกรุงปักกิ่งได้แล้วในช่วงแรก นำโดยกลุ่มธนาคารและกลุ่มทรัพยากรพื้นฐานที่ต่างลดลงราว 1.2% หลังจากที่ธนาคารกลางอังกฤษคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 0.1% และขยายโครงการซื้อพันธบัตรเพิ่มขึ้น 100 ล้านปอนด์ อัตราเงินเฟ้อเดือนพฤษภาคมอ่อนตัวต่ำสุดในรอบ 4 ปี ส่งผลให้วงเงินซื้อพันธบัตรรวมมีจำนวน 745 ล้านปอนด์ แต่ต่ำกว่าที่นักลงทุนคาดหวัง

ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,224.07 จุด ลดลง 29.18 จุด, -0.47%

ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 363.41 จุด ลดลง 2.61 จุด, -0.71%

ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,958.75 จุด ลดลง 37.22 จุด, -0.75

ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 12,281.53 จุด ลดลง 100.61 จุด, -0.81%

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนกรกฎาคม เพิ่มขึ้น 88 เซนต์ หรือ 2.3% ปิดที่ 38.84 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนสิงหาคม เพิ่มขึ้น 80 เซนต์ หรือ 2% ปิดที่ 41.51 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล