บลจ.ทาลิส มองทิศทางหุ้นไทยยังผันผวน เหตุความกังวลสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ ประเมินเศรษฐกิจโลกยังคงเติบโตได้ดี เศรษฐกิจไทยไม่น่าห่วง
นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทาลิส กล่าวว่ ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการปรับตัวของดัชนีตลาดหุ้นไทย เป็นผลมาจากความกังวลของนักลงทุนกับประเด็น ของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน ที่เพิ่มความร้อนแรงและเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ และยังหาบทสรุปของทั้ง2 ฝ่ายไม่ได้ รวมถึงปัจจัยเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกาในรอบที่ผ่านมาที่ได้ส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจมีความเข้มแข็ง โดยคาดการณ์ว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้อีก 2 ครั้ง จากที่ตลาดคาดการณ์ว่าจะมีการปรับขึ้นอีก 1 หรือ 2 ครั้ง
ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ดอลลาร์มีการแข็งค่าขึ้น ส่งผลกระทบในเชิงลบต่อค่าเงินของตลาดเกิดใหม่ ทำให้เงินในตลาดหุ้นของตลาดเกิดใหม่ต่างๆ ที่ไปลงทุนในหุ้นหรือในตราสารหนี้เกิดการไหลออก โดยทั้งสองปัจจัยที่กล่าวมา เป็นปัจจัยที่กระทบกับสินทรัพย์เสี่ยงทั้งในช่วงระยะสั้น กลางและยาว เนื่องจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกาอีก 2 ครั้งในปีนี้ และแนวโน้มที่คาดว่าจะมีการปรับอีก 3 ครั้งในปีหน้า และอีก 1 ครั้งในปี 2020 โดยแนวโน้มการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยยังคงมีอย่างต่อเนื่องได้อีก ส่งผลให้ตลาดมีความกังวลว่าดอลลาร์ในระยะยาวจะแข็งค่าและค่าเงินในตลาดเกิดใหม่จะอ่อนค่า ซึ่งเป็นกังวลว่าอาจจะมีเงินไหลออกจากตลาดเกิดใหม่อย่างต่อเนื่องได้อีกตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา
ในส่วนของประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนคาดว่าจะไม่ได้จบภายในเร็ววัน ดังนั้นบทสรุปของการเจรจาว่าจะเป็นไปในทิศทางใดยังเป็นสิ่งที่ตลาดมีความกังวลและเฝ้าระวังว่าจะเกิดความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หรือไม่ ส่งผลให้ดัชนีมีความผันผวนในช่วงนี้ ต้องเฝ้าติดตามสถานการณ์กันต่อไปเนื่องจากเป็นเรื่องของคู่ค้าสหรัฐอเมริกากับจีนที่อาจจะต้องใช้กลยุทธ์ในการเจรจาต่อรองซึ่งกัน คาดว่าจะใช้เวลาซักระยะหนึ่งตราบใดที่สงครามการค้าไม่บานปลายอยู่ในวงจำกัด ตลาดหุ้นจะเกิดการซึมซับสถานการณ์เข้าไปได้เอง ยกเว้นแต่สงครามการค้าบานปลายมากขึ้น กรณีนี้ตลาดหุ้นอาจจะได้รับผลกระทบในเชิงลบทั้งในระยะกลางและระยะยาว
“มองว่าภาคเศรษฐกิจโลกยังไปได้ดี ไม่ได้มีปัญหาอะไร ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญของตลาดหุ้น เศรษฐกิจโลกในปีหน้าอาจจะทรงๆ และชะลอตัวบ้างเล็กน้อย ในขณะที่เศรษฐกิจไทยก็ยังไปได้ดี ฉะนั้นในแง่ของภาพเศรษฐกิจยังถือว่าดีอยู่ เพียงแต่ในเรื่องของความเชื่อมั่นซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญในตลาดหุ้น ที่ถูกทำให้ลดลงจากการที่มีมุมมองว่าดอลลาร์แข็งค่าและค่าเงินในตลาดเกิดใหม่จะอ่อนค่าลง สองสิ่งนี้ถือเป็นปัจจัยด้านความเชื่อมั่นที่ลดลง ในขณะเดียวกันเรื่องของสงครามการค้าก็มีผลทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนลดลงเช่นเดียวกัน ดังนั้นถ้ามีปัจจัยดีในเชิงเศรษฐกิจแต่ความเชื่อมั่นของตลาดลดลง ตลาดหุ้นคงผันผวนในระยะสั้น แต่ในระยะยาวแล้วตัวปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจเป็นเรื่องสำคัญกว่า” นายประภาส กล่าว
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยพื้นฐานในเชิงเศรษฐกิจอีกตัวที่มีทิศทางเติบโตได้ดีคือ ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐอเมริกาช่วงไตรมาสที่ 1 ที่เติบโตดีมาก และคาดว่าจะเติบโตได้ดีตลอดปี61 รวมถึงในปีหน้าด้วย ซึ่งผลประกอบการของบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกส่วนใหญ่จะเติบโตอยู่ที่ 10% + – ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ดังนั้นสิ่งนี้ถือเป็นปัจจัยสนับสนุนตลาดหุ้นทั้งในระยะกลางและระยะยาวได้ดีเช่นกัน
อย่างไรก็ตามจากปัจจัยดังกล่าวที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่น และสร้างความกังวลให้กับนักลงทุนสะท้อนให้เห็นถึงดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลง ส่งผลให้ P/E ของตลาดหุ้นไทยต่ำที่สุดในรอบ 2 ปี ถ้ามองในมุมของนักลงทุนระยะยาวก็ถือว่าเป็นโอกาสดีที่ได้ซื้อหุ้นในราคาถูก แต่หากมองในมุมของนักลงทุนระยะสั้นเชื่อว่ายังคงเกิดความผันผวนอยู่ทั้งในช่วงของเดือนนี้จนถึงเดือนหน้า เนื่องจากต้องรอดูผลลัพธ์เรื่องการเก็บภาษีสินค้านำเข้าของสงครามการค้าทั้งสองประเทศในวันที่ 6 ก.ค.นี้ ว่าผลจะออกมาอย่างไร ซึ่งถือเป็นประเด็นที่จะสร้างความผัวผวนให้กับตลาดหุ้น และสินทรัพย์เสี่ยงทั้งหมด เป็นปัจจัยที่นักลงทุนระยะสั้นจะต้องติดตามอย่างใกล้ชิด