HANA ราคาแพงเกินไป ผู้บริหารคาดขาลงถึงครึ่งปี 64

HoonSmart.com>>ผู้บริหารฮานาฯให้ข้อมูลนักวิเคราะห์ คาดธุรกิจหดตัวไตรมาส 2-3 อาจลากยาวไปถึงครึ่งปีหน้า โรงงานจีน-กัมพูชาขาดทุน นักวิเคราะห์ชอบงบดุลแข็งแกร่ง เงินปันผลสม่ำเสมอพยุงราคาหุ้น

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) โนมูระ พัฒนสินมีมุมมองเชิงลบบริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส (HANA) หลังประชุมนักวิเคราะห์ แนะนำขายทำกำไรไปก่อนแล้วค่อยรอซื้อที่ราคา 26 บาท เพราะราคาหุ้นปัจจุบันแพงเกินไปเมื่อเทียบมูลค่าพื้นฐานที่ 26 บาท แต่ถ้ามองระยะยาวในปี 2564 ผลการดำเนินงานจะฟื้นตัวและให้ราคาเป้าหมาย 32 บาท

ผู้บริหารฮานาฯให้มุมมองในวันที่ 26 พ.ค. แย่กว่าเมื่อเดือนก.พ. โดยมองเป็นเลวร้ายที่สุด คาดธุรกิจยังหดตัวทั้งในไตรมาส 2-3 และอาจยังหดตัวไปจนถึงครึ่งแรกของปี 2564 นับว่าเป็นมุมมองที่ conservative กว่าบริษัทเคซีอี อีเลคโทรนิคส์ หรือ KCE (ที่ให้มุมมองลบต่อไตรมาส 2แต่ไม่พูดถึงไตรมาส 3) นอกจากนี้ผลกระทบยังส่งผลให้โรงงานจีนและกัมพูชาต้องขาดทุน โดยจีนขาดทุนตั้งแต่ไตรมาส 1 เพราะผลกระทบจากสงครามการค้าจนมาถึงโควิด ลูกค้าลดลงมาก ส่วนกัมพูชาขาดทุนตั้งแต่ไตรมาส 2 มีลูกค้ารายใหญ่จ้างผลิตรีโมตคอนโทรล เมื่อเกิดโควิดขายสินค้าไม่ได้จึงไม่สั่งต่อ โรงงานลำพูนและอยุธยาได้รับผลกระทบจากทั้งกลุ่มรถยนต์และโทรคมนาคม (ส่วนใหญ่เป็นโทรศัพท์มือถือ ซึ่งไม่เหมือนกับ DELTA ที่เป็นสาธารณูปโภคของกลุ่มสื่อสารที่ยังมีความต้องการสูง) แต่คาดว่ายังเป็นระดับที่ยังมีกำไรอยู่ เราปรับประมาณการปี 2563-2564 ลงจากเดิม 17% และ 3% ตามลำดับ

บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) คาด HANA ยังคงได้รับผลกระทบในไตรมาส 2 แต่สินค้าของบริษัทเป็น Consumer Products ที่มีราคาไม่แพง มีลุ้นฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง แต่จะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามภาวะเศรษฐกิจ ยอดขายของ HANA จะมีแรงหนุนให้โตเด่นได้อีกครั้งหรือไม่ ขึ้นกับการเปลี่ยนมือถือในยุค 5G ซึ่งเชื่อว่าจะเริ่มมีนัยสำคัญอย่างเร็วในช่วงต้นปี 2564

” เราอยู่ระหว่างจัดทำประมาณการและคำแนะนำสำหรับ HANA อิง Bloomberg Consensus ราคาหุ้น HANA ที่ 30 บาท อยู่ในโซนแพง ตลาดคาดกำไรปกติปี 2563 ที่ 1,200 ล้านบาท -16% จากปีก่อน และปี 2564 ที่ 1,600 ล้านบาท (+29% ) คาดว่าประมาณการปี 2563 ของตลาดมี Downside Risk ราว 10% หากยอดขายทำได้ตามมุมมองผู้บริหาร ขณะที่ประมาณการปี 2564 ของตลาดสูงกว่ากำไรปกติปี 2562 หรือปีที่ไม่เจอผลกระทบโควิด ดังนั้นประมาณการปี 2564 ของตลาดสะท้อนภาพการฟื้นตัวไปพอสมควรแล้ว”บล.หยวนต้าระบุ

HANA จะน่าสนใจขึ้นหากผ่านงบไตรมาสที่ 2 ที่คาดว่าอ่อนแอและตลาดเริ่มมองข้ามปี 2563 ไปลุ้นกับรอบเปลี่ยนเครื่องมือถือ 5G รอบใหม่ในปี 2564 ก่อนจะถึงเวลาดังกล่าว  ยังไม่แนะนำให้กลับเข้าเก็งกำไร

HANA รายงานกำไรสุทธิไตรมาสแรกที่ 204 ล้านบาท -33%จากระยะเดียวกันปีก่อนและ -64% จากไตรมาสก่อน หากไม่รวมผลขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน กำไรปกติอยู่ที่ 485 ล้านบาท +154% จากช่วงเดียวกันปีก่อนและเติบโต 6% จากไตรมาส 4 ที่ผ่านมา จากกำไรขั้นต้น  15.4% สูงกว่าค่าเฉลี่ยปกติจากบาทอ่อนและการซื้อวัตถุดิบล่วงหน้าในช่วงบาทแข็ง ชดเชยยอดขายที่ 147 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หดตัว -10%   โดยเฉพาะยอดขายในจีนหดตัว 37% จากการปิดโรงงานในเดือนก.พ.2563

ผู้บริหารให้มุมมองที่ Bearish ยิ่งกว่าภาพรวมอุตสาหกรรม สินค้าประเภท Telecom (ส่วนใหญ่ของ HANA เป็นกลุ่มในมือถือ) คาดลดลง -20% ใน ไตรมาส 2 และ ทั้งปี 2563 คาด – 15% ตลาดยานยนต์ หดตัวปลายไตรมาส 1 คาดต่อเนื่องไตรมาส 2 ที่ระดับ -30% ภาพทั้งปี -20% และจะเป็น segment ที่ฟื้นตัวได้ช้าที่สุด ขณะที่ตลาดคอมพิวเตอร์เป็นตลาดเดียวที่ผู้บริหารประเมินว่ามีโอกาสทรงตัว จากกระแส Work from home เนื่องจากสินค้า Telecom (30%) กับ Automotive (14%) คิดเป็นราว 44% ของยอดขายใน ไตรมาส 1 โดยรวมคาดยอดขายปีนี้ หดตัว -15%   ถึง -20%   ขึ้นกับระดับการฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง โดยคงงบลงทุนปี 2563 ที่ 1.3 พันล้านบาท แต่จะเน้นบริหารกระแสเงินสดเพิ่มขึ้น

บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี(ประเทศไทย) คงคำแนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมาย 31 บาท ฝ่ายบริหารยังคงกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มความต้องการสำหรับตลาดที่ไม่ใช่หน่วยความจำ และการว่างงานที่เพิ่มขึ้นในหลายประเทศมีแนวโน้มที่จะนำไปสู่การฟื้นตัวอย่างช้าๆในยอดขายผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค

บล.ดีบีเอส วิเคอร์ส(ประเทศไทย)ปรับคำแนะนำเป็น “ถือ” จากเดิมเต็มมูลค่า และเพิ่มราคาเป้าหมาย 28.25 บาท เลื่อนไปอิง P/E ปีหน้าที่ 15 เท่า (ค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี) บริษัทมีฐานะการเงินแข็งแกร่ง เป็นเงินสดสุทธิ และจ่ายปันผลได้ต่อเนื่อง คาดการณ์อัตราผลตอบแทนปีนี้ 2.4% และปี หน้าเพิ่มเป็น 3.8% แม้ว่าผู้บริหารประเมินว่าในปีนี้รายได้จะลดลง -16% ถึง -23% และปี2564 ลดลง -10% ถึง -14% เมื่อเทียบกับปี 2562 ซึ่งเป็นการให้ตัวเลขเป้าหมายที่อ่อนแอที่สุดเท่าที่ผ่านมา

DBS ปรับลดคาดการณ์กำไรสุทธิปี2563-2564ลง -25% และ -17% ตามลำดับ ทำให้กำไรสุทธิปีนี้หดตัว -30% และปี 2564พลิกเป็นเติบโต +47% สะท้อนสมมติฐานยอดขายที่อนุรักษ์นิยมยิ่งขึ้น

” นับเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายของบริษัท โดยคำสั่งซื้อเลื่อนออกไปเพราะผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่เลื่อนการออกโมเดลใหม่ รวมทั้งกำลังซื้อถูกกระทบจากโควิด-19 และจากอัตราการว่างงานที่สูงขึ้นเมื่อจบโควิด โดยเฉพาะในกลุ่มท่องเที่ยว โรงแรม และสายการบิน ที่ลดการจ้างงานอย่างถาวรเป็นจำนวนมาก ซึ่งกระทบต่ออุปสงค์ของโลก

บล. เคจีไอ(ประเทศไทย) แนะนำให้น้ำหนักมากกว่าตลาด ราคาเป้าหมาย 36 บาท ยังคงประมาณการกำไรจากธุรกิจหลักปีนี้ที่ 1,400 ล้านบาท ถึงแม้ว่าบริษัทจะยังมีมุมมองแบบระมัดระวัง แต่เชื่อว่าราคาหุ้นสะท้อนแนวโน้มผลประกอบการที่อ่อนแอไปมากแล้ว เรายังคงมองว่ากระแสการนำเทคโนโลยี 5G มาใช้ยังคงเหมือนเดิมโดยจะมีจีนเป็นผู้นำ ส่วนความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐจะรบกวนระยะสั้น และน่าจะอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ โดยงบดุลที่แข็งแกร่งและการที่บริษัทจ่ายปันผลได้อย่างสม่ำเสมอจะเป็นปัจจัยที่ช่วยพยุงราคาหุ้นเอาไว้

บล. เอเชีย เวลท์ แนะนำ “ขาย” ราคาเป้าหมาย 22 บาท/หุ้น ปัจจุบันราคาสูงกว่ามูลค่าพื้นฐาน ผลกระทบของโควิด ประเมินว่ากำไรสุทธิปี 2563 จะปรับลดลง 25% อยู่ที่ 1,349 ล้านบาท และประมาณการรายได้รวมอยู่ที่ 19,123 ล้านบาท ลดลง 6.2% คาดผลประกอบการไตรมาส 2 ชะลอตัวจากโควิด และไตรมาส 1การจัดส่งสมาร์ทโฟนทั่วโลกลดลง 11.7% เป็นผลจากการเลื่อนเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ออกไป ยอดขายรถยนต์ในจีน เดือน เม.ย. ฟื้นตัวเล็กน้อย อยู่ที่ 0.9% คาดกำลังผลิตรวมในช่วงไตรมาส 2 จะเพิ่มขึ้น