HoonSmart.com>> หุ้นเหวี่ยงขึ้น-ลงร่วม 23 จุด ตามตลาดต่างประเทศภาคบ่ายสดใส รับข่าวทยอยปลดล็อกดาวน์ เก็งธุรกิจได้ผลบวก ดัชนีขึ้น 7จุด ท่ามกลางเสียงเตือนไปต่อไม่ไหวแล้ว บล.โนมูระฯแนะให้เล่นธีมหุ้นเข้าดัชนี MSCI ในรอบนี้ 3 ตัว AWC-KTC-TOA ส่วน BANPU หลุด บล.โกลเบล็กแจกหุ้นชุดตามข่าวดี ท่องเที่ยวฟื้น AOT-MINT-ERW-CENTEL โรงกลั่นทรุดต่ำสุดTOP-SPRC-PTTGC อิเล็กทรอนิกส์เร่งผลิต KCE-HANA-DELTA ซิตี้แบงก์แนะลดพอร์ตหุ้น เพิ่มตราสารหนี้สหรัฐ-ทองคำ บล.กสิกรไทยเตือนระวังหุ้นพลังงาน ราคาน้ำมันเบรนท์มีแนวรับ 17-15 เหรียญสหรัฐฯ
วันที่ 28 เม.ย. 2563 ตลาดหุ้นผันผวนสูง จากระดับต่ำสุด 1,260 จุด วิ่งขึ้นไปที่จุดสูงสุด 1,283 จุด ก่อนอ่อนตัวลงมาปิดที่ 1,274.99 จุดเพิ่มขึ้น 7.58 จุด หรือ +0.60% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 60,549 ล้านบาท หลังจากตลาดหุ้นต่างประเทศปรับตัวขึ้นในช่วงบ่าย ส่งผลให้มีแรงซื้อหุ้นขนาดใหญ่กลับคืน ทั้งพลังงานที่ไหลลงตามราคาน้ำมันดิบ และหุ้นกลุ่มธนาคาร โดยนักลงทุนต่างชาติพลิกมาซื้อวันแรก 185 ล้านบาทหลังจากขายวันละหลายพันล้านบาทมานาน สถาบันไทยซื้อเล็กน้อย 309 ล้านบาท และรายย่อยถือโอกาสขาย 1,016 ล้านบาท
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า หุ้นยืนในแดนบวกได้จากทั้งปัจจัยภายนอกและภายใน ในการทยอยปลดล็อกดาวน์ และการออกมาตรการช่วยเหลือภาคเกษตรกร แนวโน้มตลาดยังรอผลการประชุมของธนาคารกลางประเทศต่างๆ และติดตามข่าวสาร ให้แนวรับไว้ที่ 1,265 จุด และแนวต้านที่ 1,285 จุด
บล.โนมูระ พัฒนสิน(CNS) แนะนำลงทุนในช่วงนี้ ธีมหุ้นที่จะเข้าสู่การคำนวณของดัชนี MSCI ในรอบนี้ ประกาศผลวันที่ 12 พ.ค. มีผลวันที่ 29 พ.ค.นี้ คาดว่าหุ้นที่จะถูกนำเข้าคำนวณใน MSCI Global Standard ได้แก่ AWC, KTC, TOA ขณะที่หุ้นที่คาดจะหลุดจากการคำนวณ คือ BANPU
สำหรับ AWC ไม่ได้ดูแล จึงอ้างอิงนักวิเคราะห์โดยรวมให้ราคาเป้าหมาย 5.55 บาท ยังมีมุมมองบวกต่อการเติบโตของธุรกิจ KTC ให้ราคาเป้าหมาย 33 บาทคาดกำไรกลับมาโตในไตรมาส 2 กำไรทั้งปี 2563 โต 20% เป็น 6,640 ล้านบาท ขณะที่ราคาหุ้นปรับฐานลงมาในจุดที่น่าสนใจ ที่ระดับ P/E 12.3 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 15.8 เท่ามีผลตอบแทนปันผล 3.3% และ TOA แม้ราคาหุ้นจะขึ้นมาเกินราคาเป้าหมายที่ให้ไว้ 35.50 บาท แต่ยังต่ำกว่าราคาสูงสุดของนักวิเคราะห์ที่ 40 บาท แนวโน้มกำไรจะกลับมาเติบโตได้อีกครั้งในปีหน้าราว 10%
บล.โนมูระ พัฒนสินแนะนำว่า พอร์ตลงทุนให้ลดน้ำหนักหุ้นเหลือ 30% หลัง Upside จำกัดดัชนีระดับ 1,250-1,300 จุด ส่วนพอร์ตเก็งกำไรให้ใช้ระดับหลุด 1,230 จุด เพื่อลดสถานะ กลยุทธ์ระยะยาวที่เหมาะสม คือ DCA ตั้งรับ Sustainable Business สม่ำเสมอทุกๆ เดือน แนะนำ ADVANC, AOT,CPALL, CPF, BEM, BDMS, HMPRO, KTC, TASCO
นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก คาดทิศทางหุ้นยังคงผันผวน มองกรอบดัชนีในระดับ 1,250 – 1,285 จุด และนายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย แนะดักลงทุนในหุ้นได้ประโยชน์หากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย ทยอยสะสมกลุ่มท่องเที่ยว ชู AOT, MINT, ERW และ CENTEL รองลงมาเป็นกลุ่มโรงกลั่น เช่น TOP, SPRC และ PTTGC จากผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในช่วงไตรมาส 1 และไม่มีขาดทุนสต็อกในไตรมาส 2 สุดท้ายกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ เช่น KCE, HANA และ DELTA กลับมาเร่งผลิตสินค้าเพื่อเติม
นายดอน จรรย์ศุภรินทร์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายบุคคลธนกิจ ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย กล่าวว่า สินทรัพย์ที่น่าลงทุนหลังจากเศรษฐกิจฟื้นตัว ได้แก่กลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสุขภาพ กลุ่มโทรคมนาคม และเทคโนโลยี แต่ก็ได้ปรับลดน้ำหนักลงทุนในหุ้นลงเป็นเท่ากับตลาด และเพิ่มน้ำหนักในตราสารหนี้ภาครัฐของสหรัฐอเมริกา และการลงทุนในทองคำ ช่วยเสริมความมั่นคงให้กับพอร์ต สำหรับนักลงทุนที่ต้องการบริหารความมั่งคั่งและกระจายความเสี่ยงในภาวะตลาดที่มีความผันผวน
นายชาญเดช หลีทศรัตน์ นักวิเคราะห์ทางเทคนิค บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ดัชนีเริ่มปิดแถวบริเวณ 1,280-1,300 น่าเป็นจังหวะในการขาย และตลาดมีโอกาสขึ้นจำกัด ระมัดระวังนักลงทุนต่างชาติขายออก จะส่งผลให้ดัชนีอาจจะปรับตัวย่อลงได้ ส่วนราคาน้ำมันเบรนท์มีความเสี่ยงลดลงต่อ มองแนวรับที่ 17-15 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล จึงต้องระมัดระวังการลงทุนในหุ้นพลังงานพลังงาน
ส่วนราคาทองคำยังมีทิศทางขาขึ้น ล่าสุดราคาเริ่มถอยลง หลังจากราคาขึ้นไปถึง 1,740 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งตัวชี้ว่าตลาดทองคำจะ Double Bottoms ต้องหลุด 1,655 ดอลลาร์หากหลุดแนวรับจะอยู่ที่ประมาณ 1,630-1,625 ดอลลาร์ ซึ่งทองคำยังมีความเสี่ยงอยู่ หากถือสถานะรองแนะนำขายทำกำไร