สัมภาษณ์พิเศษ : “เสี่ยแตงโม” : บ๊าย บาย นายทุน

หลังจากที่เสี่ยแตงโม –สมเกียรติ ธนัตถ์เจริญกุล” นักลงทุนหาดใหญ่ผู้โด่งดัง และร่ำรวยจากกู้เงินนอกระบบเก็งกำไรหุ้น วอร์แรนต์ กลายเป็นเศรษฐีใหม่ในพริบตา เขาเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ แต่ดูเหมือนโชคชะตา ฟ้าลิขิตต้องย้ายถิ่นฐานจากใต้ ขึ้นสู่ที่สูง ณ นครเชียงใหม่ ชีวิตและครอบครัวเปลี่ยนไปอย่างไร ติดตามอ่านได้ใน Hoonsmart.com

สมเกียรติ ธนัตถ์เจริญกุล

เสี่ยแตงโม : ก้าวแรกที่กระผมถึงจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมครอบครัวของผม ผมก็ใช้เงินทุนของผมเองลงทุน และก็ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเงินกู้นอกระบบอีกเลย การออกมาเปิดเผยเรื่องเงินกู้นอกระบบในครั้งนี้ วัตถุประสงค์ เพื่อนำเรื่องราวในอดีตของกระผมเองว่า ผมมิได้ทำความเสียหายให้แก่นายทุนของผมแม้แต่บาทเดียว และผมก็เชื่อว่า การกู้เงินของผม ผมเป็นฝ่ายทำให้นายทุนของผมมีความสุข ตั้งแต่เริ่มกู้ จนเลิกใช้เงินกู้ครับ

ความสำเร็จเรื่องการลงทุนในตลาดหุ้นอย่างรวดเร็วของกระผมนั้น มันจะไม่มีโอกาสทำได้เลย หากไม่มีนายทุน ที่คอยให้โอกาสผม ท้ายที่สุด ผมขอบคุณนายทุนมาก ๆ ครับ ที่ทำให้ผมมีวันนี้ ผมจะไม่มีวันลืมบุญคุณ ที่เคยสนับสนุนผมมาโดยตลอด 14 ปี เริ่มจากปี 2536-2549 ได้เลยครับ

ปี 2551 ผมได้ยินเสียงวิพากย์ วิจารณ์ต่าง ๆ นา ๆ ว่า อย่าไปเชื่อเลย เงิน 8 หมื่น จะกลายเป็นร้อยล้าน ขี้โม้ วันนี้ ผมจึงอยากจะบอกนักลงทุน ว่า ผมมีอาวุธลับ ที่ในวันนั้น ไม่สามารถบอกใครได้ครับ ผมเป็นคนกล้ารวยครับ ชีวิตผม ผมกลัวอย่างเดียว คือไม่รวย เวลาผมเจอหุ้นที่ดีมาก ผมบอกคนรู้จักว่า คุณไปขายบ้านคุณ มาซื้อหุ้นตัวนี้ ผมรับรอง รวยแน่นอน แต่เดี๋ยวนี้ ผมไม่เคยพูดแบบนี้แล้วนะครับ เพราะผมเป็นผู้ใหญ่แล้วครับ

ผมขอย้อนกลับมาเรื่องการลงทุนของผมในตลาดหุ้น ได้เปลี่ยนแปลงการลงทุน หลังจากที่ตลาดหลักทรัพย์ ได้เปลี่ยนจากการของราคาหุ้นสามัญ จากเดิมขึ้น 10% มาเป็น 30% (ซิลลิ่ง-ฟลอร์ ) ผมก็ได้เพิ่มความระมัดระวังเพิ่มขึ้น ของราคาหุ้นที่ซิลลิ่ง และผมจะต้องใช้ความคิดให้มากขึ้นว่า ผมควรจะตามแห่ซื้อ แล้วราคาหุ้นจะสามารถยืนติดซิลลิ่ง สนิทไหม เพราะถ้าผมซื้อแล้ว ไม่สามารถยืนซิลลิ่ง ได้สนิท หรือหลุด ผมจะต้องใช้สติคิดดูว่า ผมควรขายทิ้งไปเลยไหม

บางครั้งผมก็ต้องเดาใจว่า น่าจะหลอกผมขายออกมั้ง และหากผมคิดว่า ผมยอมขาดทุนภายในนาทีนั้นเลย ผมก็ขาย ผมก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรกับการขาดทุน หากสิ่งที่ผมคิดว่ายืนได้ วันรุ่งขึ้น หุ้นก็สามารถขึ้นต่อ ผมก็จะมีกำไรวันรุ่งขึ้น ก็เท่านั้นเอง

ต่อมา ปี 2552 ผมเริ่มแบ่งพอร์ตซื้อลงทุน ระยะปานกลางถึงยาว เพราะในเมื่อผมมีเงินเยอะขึ้น ก็ต้องกระจายความเสี่ยงให้น้อยลง โดยใช้งบ 30% ในการเก็งกำไรรายวัน หรือระยะสั้น ๆ ส่วนอีก 70% ผมก็แบ่งถือลงทุนระยะปานกลาง-ยาว ในขณะเดียวกันนั้น ผมก็ได้ติดตามนักวิเคราะห์ตามโบรกเกอร์ต่าง ๆ ว่า ได้แนะนำหุ้นตัวไหนบ้าง และศึกษาผลประกอบการบริษัทที่ผมจะเลือกลงทุนสัดส่วน 70% ก็คือระยะกลางถึงยาว ว่า เป็นอย่างไรบ้าง ตรวจเช็กกำไรย้อนหลังกลับไปหลาย ๆ ปี

สาเหตุที่เปลี่ยนแนวการลงทุน ก็เพราะ การเก็งกำไร เริ่มไม่หมูแล้ว การซื้อหุ้นซิลลิ่งผมก็ลดน้อยถอยลง เพราะหุ้นหลายตัว ที่ขึ้นซิลลิ่ง ก็รู้สึก ไม่ค่อยแข็งแรง บางตัวราคาขึ้นไป 30% ก็ปรับตัวลงมาบวกแค่ 5-6% และบางตัวก็บวกเหลือ 10% บ้าง ดังนั้นหากผมเลือกซื้อที่ 30% ของวัน ผมก็จะขาดทุนมาก เมื่อเทียบกับราคาปิด และการลงทุนของผม หากเวลาขาดทุน ผมจะกลับมานั่งทบทวนว่า ทำไมผมถึงแพ้ พยายามหาจุดผิดพลาดของตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่า เพราะอะไร ทำไมเราถึง ขาดทุน

ในเมื่อผมให้น้ำหนักการลงทุนมากกว่าการเก็งกำไร วอลุ่มการซื้อขายของผม เฉลี่ยต่อปีก็ลดลงตามลำดับครับ ผมลดความร้อนแรงมากกว่าเกินครึ่งของพอร์ตลงทุน ดังนั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่วอลุ่มเฉลี่ยซื้อขายของผมลดลง ซึ่งหลังจากที่ผมได้เปลี่ยนแนวเก็งกำไร เพิ่มน้ำหนักพอร์ตลงทุน ผลลัพท์ของพอร์ตลงทุน ก็ทำให้ผมเห็นว่า ความเหน็ดเหนื่อยก็น้อยลง กำไรก็ดีมาก เราแทบจะไม่เหนื่อยเลย จากนั้น ผมก็เริ่มชอบมากกับการลงทุนแบบใหม่ ก็คือการถือลงทุน ไม่ต้องขยันเข้า ขยันออก สบายกว่ากันเยอะ กำไรก็งามมาก

ผมพยายามคอยติดตาม บทวิเคราะห์ของนักวิเคราะห์ที่ออกมา แบบไม่ลดละสายตา เพราะอย่าลืมว่า นักวิเคราะห์มีความสำคัญมาก จะถูกจะผิด ก็คือ ความได้เปรียบ เสียเปรียบ ในการลงทุนในตลาดหุ้น ดังนั้น ประเด็นนี้ ผมให้ความสำคัญมาก ๆ ครับ

เวลาผมหาหุ้นที่ผมชื่นชอบได้แล้ว ผมพยายามถือให้นานขึ้น ๆ จาก 3 เดือน ก็มาเป็น 6 เดือน 9 เดือน และ 1 ปี ตัวไหนพิเศษมากหน่อย ก็ตั้งเป้าถือนาน 3 ปีไปเลย แต่ก็เป็นเรื่องแปลกในตลาดหุ้นนะ ทำไมเวลาเรามั่นใจมาก ๆ ถึงแพ้ ประเด็นนี้ ผมค่อยมาคุยตอนปิดท้ายครับ

เส้นทางการลงทุนในตลาดหุ้นของผม ด้วยความเป็นส่วนตัวแล้ว ผมจะมีเพื่อนเป็นมาร์เก็ตติ้งประจำตัวผม และผมขอเล่าเรื่องอดีตให้ฟังสักหน่อย ซึ่งมันเกี่ยวข้องกับตัวผม ที่วนเวียนในแวดวงตลาดหุ้นในหาดใหญ่ สมัยนั้นการทำงานในบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ไม่ต้องมีวุฒิปริญญาตรี ก็สามารถสมัครได้ ในขณะนั้น

ประมาณปี 2534 เพื่อนรุ่นเดียวกับผม เราจบที่โรงเรียนหาดใหญ่อำนวยวิทย์บริหารธุรกิจ ( ปวส. ) ซึ่งเพื่อน ๆ ผมเป็นพนักงานเดินเอกสารบ้าง บางคนก็เป็นมาร์เก็ตติ้ง มีอยู่วันหนึ่ง มีบริษัทหลักทรัพย์มาเปิดใหม่ ผมก็บอกเพื่อนว่า ผมอยากเป็นพนักงานบ้าง เพราะผมแอบคิดว่า หากผมได้เป็นพนักงาน ผมอาจจะรู้เรื่องอะไรดี ๆ หรือทราบอะไรเร็ว ๆ เรียกสั้น ๆ ว่า “ อินไซด์เดอร์”

วันนั้น ผมถูกเรียกสัมภาษณ์ และผู้สอบสัมภาษณ์ ถามผมว่า นายสมเกียรติ หากคุณได้เป็นพนักงาน คุณจะแนะนำให้ลูกค้าเล่นหุ้นตัวไหน เหตุผลเพราะอะไร ผมก็ตอบว่า ผมจะแนะนำลูกค้าเล่นหุ้นปั่นครับ ???

เชื่อไหม พอผมตอบไปแบบนี้ คนถามมองหน้าผม ด้วยหน้าตามึนงง ถามต่อว่า เพราะอะไร ผมก็ตอบว่า หุ้น หากไม่ถูกปั่น มันจะขึ้นได้เหรอครับ ในความรู้สึกผม ผมคิดแบบนี้ครับ เพราะผมเคยเล่นหุ้นมาด้วยครับ จากนั้น ยังไม่ทันไร คนสอบสัมภาษณ์ผม ก็บอกผมว่า “ นายสมเกียรติผมว่าคุณไม่ต้องมาสมัครทำงานนะ ผมว่าคุณควรจะไปเล่นหุ้นดีกว่า” จากนั้น เขาก็ยิ้ม เขาบอกว่า ผมสอบสัมภาษณ์คุณเสร็จแล้ว

ผมออกจากห้อง เพื่อนมาถามผมว่า เป็นยังไง ผมตอบเพื่อนว่า เขาไม่รับผมทำงานหรอก เพราะผมดูสีหน้า ผมอ่านได้ ผมก็บอกเพื่อนว่า ต่อไปนี้ผมจะไม่มาสมัครงานเพื่อขอทำงานล่ะ เล่นหุ้นดีกว่า สบายใจกว่าเยอะ ผิดถูกก็ค่อยว่ากัน ผมก็บอกเพื่อน อะไรว่ะ ทำไมเขาไม่เข้าใจ ก..รู ว่ะ ก…รู ตอบผิดตรงไหน หุ้นไม่ถูกปั่น แล้วมันจะขึ้นได้ยังไงว่ะ

ผมยอมรับว่า ผมเสียใจที่สอบไม่ผ่าน และไม่สามารถได้เป็นพนักงานเหมือน ๆ กับเพื่อน ๆ ของผม ผมก็บอกเพื่อนไปอย่างเขิน ๆ ว่า ดีเหมือนกัน ที่ไม่ต้องแต่งตัวเรียบร้อย ตัดผมสั้นผูกเนคไท เอกลักษณ์ของผมในวันนั้น เป็นหนุ่มผมยาวขี่บิ๊กไบค์

ในที่สุด ผมก็ไม่มีโอกาสได้เป็นพนักงาน ตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปี ที่ผมคุกคลีกับเพื่อน ผมมีเพื่อนเป็นมาร์เก็ตติ้งส่วนตัวมาตลอด และเหตุผลนี้เอง ที่ผมต้องเดินตามเพื่อนไปโบรกเกอร์ต่าง ๆ ก็เพราะผมเข้าใจเพื่อน เพราะอะไร ???? ผมบอกให้ครับ ในวงการหลักทรัพย์ เรื่อง การย้ายงานเป็นเรื่องธรรมดาเหลือเกิน เพราะผลประโยชน์ของการย้ายงานนั่นเอง เพื่อน ๆ นักลงทุนครับ เคยได้ยินเกี่ยวกับ 18 มนุษย์ทองคำในตลาดหุ้นไหมครับ นี่แหละคือ ที่มาของการย้ายงาน

ผมรู้ทั้งรู้ เพื่อนย้าย เพื่อนก็รวย ผมทำเพื่อเพื่อนได้เสมอครับ และมันเป็นเรื่องธรรมดา ที่ส่วนตัวผม ปี ๆ หนึ่ง ผมมีวอลุ่มซื้อขายเฉลี่ยปีละมหาศาล ผมเนื้อหอมมาก ใคร ๆ ก็อยากได้ผมเป็นลูกค้า ประวัติการซื้อขายผมก็ดีเยี่ยม ไม่เคยมีปัญหากับบริษัทหลักใด ๆ ทั้งนั้น ใครบ้างหล่ะที่จะไม่อยากได้ตัวผมเป็นลูกค้า

ตั้งแต่แรกเริ่มจนมาถึงบัดนี้ ผมถูกเพื่อนให้ย้ายการเทรดมาแล้ว รวมทั้งปัจจุบัน 13 แห่งแล้วครับ อดีตโบรกเกอร์ที่ผมเคยเทรด ปิดไปแล้ว 5 บริษัท ในสมัยวิกฤติต้มยำกุ้ง ตั้งแต่ 2549 ผมก็เอาเพื่อนมาเป็นผู้จัดการ และน้องแฟนพี่ชายเป็นมาร์เก็ตติ้ง จนทุกวันนี้ครับ

ล่าสุดตัวกระผมเอง ก็ประสพความสำเร็จการลงทุนหุ้น ส่วนเพื่อนหลายคน ก็ได้เป็นผู้จัดการสาขา และบางคนก็ได้เป็นผู้บริหารตำแหน่งใหญ่สุดในบริษัท ผมดีใจที่ตัวเองประสพความสำเร็จด้านการเทรดหุ้น และเพื่อนก็ประสพความสำเร็จ ในด้านการงาน และการบริหาร เพราะเราคือเพื่อนกัน