กรุงไทยหั่น GDP ปีนี้หดตัว 4.6% ดีกว่า IMF มอง เชื่อคลังอัดมาตรการเพิ่ม

HoonSmart.com>> ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS มอง GDP ไทยปีนี้หดตัว 4.6% จากเดิมคาดขยายตัว 1.5% หลังโควิด-19 กระทบเศรษฐกิจทั่วโลกถดถอยมากกว่าคาด IMF หั่น GDP โลก มองไทยหดตัว 6.7% หนักสุดในอาเซียน “กรุงไทย” เชื่อคลังออกมาตรการประคองเศรษฐกิจเพิ่มหากโควิด-19 ลากยาว

ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย (KTB) มองแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2563 หดตัว 4.6% จากเดิมคาดเติบโต 1.5% ซึ่งดีกว่าที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดเศรษฐกิจไทยปีนี้หดตัวถึง 6.7% จากมาตรการทางการคลังและมาตรการทางการเงินกว่า 1.9 ล้านล้านบาท รวมถึงสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีของไทยที่ยังไม่สูงมากนัก ทำให้น่าจะเห็นมาตรการคลังอื่นๆ เข้ามาช่วยประคองเศรษฐกิจเพิ่มเติมหากสถานการณ์การแพร่ระบาดยังคงลากยาวต่อไป

“IMF คาดเศรษฐกิจไทยปีนี้หดตัวมากกว่าที่ ธปท. คาดไว้ที่ -5.3% ในขณะที่มองว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปีนี้จะหดตัวที่ 1.1% แต่ยังมองว่าดุลบัญชีเดินสะพัดต่อจีดีพีปีนี้ยังเกินดุลที่ 5.2% ลดลงจากปีก่อนหน้าที่ 6.9% อย่างไรก็ตาม IMF คาดว่า เศรษฐกิจไทยปี 2564 จะกลับมาขยายตัวที่ 6.1% อัตราเงินเฟ้อทั่วไปกลับมาขยายตัวที่ 0.6% และดุลบัญชีเดินสะพัดต่อจีดีพีปีนี้ยังเกินดุลเพิ่มขึ้นไปที่ 5.6%” Krungthai COMPASS ระบุ

ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS มองว่า เศรษฐกิจไทยพึ่งพาดีมานด์จากต่างประเทศสูง ส่งผลให้เมื่อเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย ย่อมจะกระทบเศรษฐกิจไทยตามไปด้วย ซึ่งปัจจุบันเศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอนสูงนี้ขึ้นอยู่กับความรุนแรงและระยะเวลาการแพร่ระบาดของ COVID-19 ตัวเลขประมาณการเศรษฐกิจของ IMF ในครั้งนี้ตั้งอยู่บนสมมติฐานหลักว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดจะค่อยๆ คลี่คลายได้ในช่วงครึ่งหลังของปี ซึ่งยากที่คาดเดาว่าการแพร่ระบาดจะสอดคล้องกับที่ IMF คาดไว้หรือไม่ ซึ่งหากการแพร่ระบาดลากยาวไปมากกว่านี้ ก็ย่อมจะทำให้เศรษฐกิจโลกถดถอยลงไปลึกกว่าที่คาดการณ์

อย่างไรก็ตามการแพร่ระบาดของโรคที่ไม่อาจประเมินได้ว่า ”จะสิ้นสุดเมื่อไหร่?” ทำให้ความไม่แน่นอนในตลาดการเงินยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น กดดันเงินบาทอ่อนค่าต่อไป ภาวะเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนสูง ทำให้กระแสเงินทุนมีความผันผวนรุนแรงและไหลออกจากสินทรัพย์ในตลาดเกิดใหม่อย่างต่อเนื่อง ขณะที่เงินทุนไหลเข้าในตลาดเกิดใหม่อาจเข้าสู่ภาวะ “Sudden Stop” หรือการเคลื่อนย้ายเงินทุนหยุดกะทันหัน ดังเช่นที่เกิดขึ้นในช่วงวิกฤตการเงินปี 2551-2552 ซึ่งจากปรากฎการณ์นี้อาจกดดันให้เงินบาทต่อดอลลาร์ฯ และเงินสกุลประเทศเกิดใหม่มีโอกาสอ่อนค่ามากขึ้น

ทั้งนี้ IMF คาดเศรษฐกิจโลกถดถอยครั้งนี้ถือเป็น “The Great Lockdown” โดยปี 2563 นี้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย โดยคาดว่าจะหดตัว 3% ต่ำสุดในรอบ 100 ปี จากเดิมคาดว่าจะขยายตัว 3.3% เลวร้ายกว่าช่วงวิกฤตการเงินโลกในปี 2551-2552 ก่อนที่เศรษฐกิจโลกจะกลับมาขยายตัวได้ในปี 2564 ที่ระดับ 5.8% จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและฐานต่ำปีนี้ ขณะที่ผลผลิตของโลกในปี 2563-2564 คาดว่าจะลดลงจากประมาณการเดิมถึง 9 ล้านล้านดอลลาร์ฯ

พร้อมกันนี้ต้องจับตาเศรษฐกิจประเทศพัฒนาแล้วหลังสถานการณ์ในสหรัฐฯ-ยุโรปน่าเป็นห่วง หลังการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วและรุนแรงอย่างยิ่งในสหรัฐฯ และยุโรป แม้จะใช้มาตรการ Lockdown ไปแล้วก็ตาม ซึ่งนำไปสู่การขาดความเชื่อมั่นในระยะต่อไป โดย IMF คาดว่าเศรษฐกิจกลุ่มนี้จะหดตัวถึง 6.1% ก่อนจะกลับมาขยายตัวได้ที่ 4.5% ในปี 2564

กลุ่มประเทศเศรษฐกิจกำลังพัฒนาและประเทศเกิดใหม่ยังต้องเผชิญกับวิกฤตด้านสาธารณสุข และดีมานด์จากทั้งในและต่างประเทศหยุดชะงัก โดยคาดว่าเศรษฐกิจจะหดตัว 2.2% ในปี 2563 ยิ่งกว่านั้น หากสถานการณ์การแพร่ระบาดและมาตรการป้องกันยังลากยาวออกไป จะยิ่งส่งผลให้เศรษฐกิจกลุ่มนี้ได้รับความเสียหายอย่างหนักจากการปิดตัวของบริษัท และอัตราการว่างงานที่เพิ่มมากขึ้น

เศรษฐกิจอาเซียนคาดว่าจะหดตัว 0.6% และขยายตัว 7.8% ในปี 2563 และ 2564 โดยเฉพาะเศรษฐกิจไทยปีนี้คาดว่าจะหดตัวหนักสุดถึง 6.7% ก่อนที่เศรษฐกิจจะกลับมาเติบโตที่ 6.1% ในปี 2564 รองลงมาคือ มาเลเซียที่ -1.7% ในปีนี้ และ 9% ในปี 2564 สวนทางกับเศรษฐกิจเวียดนามที่ยังคงขยายตัวได้ที่ 2.7% ในปี 2563 และ 7% ปี 2564