ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ประกาศแผนยุติโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในเดือนธันวาคมปีนี้ แม้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของกลุ่มสหภาพยุโรปชะลอตัวและยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยต่อไป จนถึงช่วงฤดูร้อนของปีหน้า
ECB จะลดวงเงินซื้อพันธบัตรลดจาก 30 พันล้านยูโรต่อเดือน เหลือ 14 พันล้านยูโรต่อเดือนหลังจากเดือนกันยายน และยุติการซื้อพันธบัตรในสิ้นปี ซึ่งถือเป็นการทะยอยลดการดำเนินนโยบายที่ได้นำมาใช้เพื่อพยุงเสถียรภาพเศรษฐกิจในช่วงวิกฤติการเงิน อย่างไรก็ตามจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับนี้ไปก่อน
มาริโอ้ ดรากี ประธาน ECB ยอมรับว่าการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหภาพยุโรปชะลอตัวลง แต่ปัจจัยพื้นฐานการเติบโตยังแข็งแกร่ง ขณะที่การคาดการณ์เงินเฟ้อระยะยาวของตลาดยังอยู่ในระดับต่ำ เข้าใกล้เป้าหมายของ ECB ที่ระดับต่ำกว่า 2%
ดรากีกล่าวว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจในยูโรโซนขยายตัวต่อเนื่องในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดยคาดว่ามาตรการ QE มีผลต่อเศรษฐกิจราว 0.75% ต่อปีจากการขยายตัวในอัตรา 2.25% ต่อปี
ECB เริ่มใช้มาตรการ QE ในปี 2015 และได้อัดฉีดเงินเข้าระบบไปแล้วกว่า 2.4 ล้านล้านยูโร ขณะที่คงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0%
นอกจากนี้ที่ประชุม ECB มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ พร้อมกับคงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ฝากไว้กับ ECB ที่ระดับ -0.40% และคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ระดับ 0.25%
ดรากีกล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายจนถึงช่วงฤดูร้อนของปีหน้า
“เราตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยและคาดว่าดอกเบี้ยจะยังคงอยู่ในระดับนี้ไปอย่างน้อยถึงช่วงฤดูร้อนของปี 2019 และคงไปนานเท่าที่จำเป็นเพื่อให้อัตราเงินเฟ้อสอดคล้องกับการคาดการณ์ระยะยาว”
มติของ ECB มีผลให้ค่าเงินยูโรอ่อนตัวลงมากเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ โดย ณ เวลา 00.30 น ในไทย ค่าเงินยูโรอยู่ที่ 1.1622 ต่อดอลลาร์หรืออ่อนค่า 1.43%