HoonSmart.com>>บล.ไทยพาณิชย์เตือนนักลงทุนเพิ่มความระมัดระวัง สัปดาห์นี้เป็นการเริ่มต้นของการลงทุนรอบใหม่ หลังจากหุ้นทั่วโลกวิ่งแรง ผลตอบแทนพันธบัตร-ราคาน้ำมัน-ทองเพิ่มขึ้น สถานการณ์แพร่ระบาดไวรัสยังไม่พีค ประเทศไทยเข้าสู่ภาวะฉุกเฉินแล้วจะต้องมีมาตรการต่างๆออกมาต่อเนื่องในช่วง 1 เดือนข้างหน้า ตัวเลขเศรษฐกิจ ผลประกอบการของบจ.อาจจะแย่กว่าคาดการณ์ การลงทุนควรทยอยเพิ่มสินทรัพย์ที่มีคุณภาพ สัปดาห์นี้เลือก DIF ความเสี่ยงจำกัด ราคาลงไปลึก อัตราผลตอบแทนปันผลเพิ่มขึ้นเป็นปีละ 7%
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ไทยพาณิชย์ออกโรงเตือนในสัปดาห์นี้เป็นการเริ่มต้นเข้าลงทุนรอบใหม่ ยังคงยํ้าให้ต้องมีความระมัดระวังต่อไป โดยควรทยอยเพิ่มนํ้าหนักการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีคุณภาพดีเป็นหลัก เช่น ตลาดหุ้นไทย REITs เป็นต้น หลังจากสัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นทั่วโลกและสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ 10 ปี อยู่ที่ 0.73% และ 2 ปี อยู่ที่ 0.23% ราคาทองคำขึ้นมาอยู่ที่ 1,680 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์และราคานํ้ามันดิบ Brent ปรับตัวสูงขึ้นมาที่ระดับ 35 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ก่อนที่จะย่อตัวมาที่ 32 เหรียญต่อบาร์เรล ผลการประชุมโอเปกพลัส เป็นไปตามที่ตลาดคาด แต่การปรับลดจะเป็นแบบขั้นบันได
ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม คือ ตัวเลขเศรษฐกิจและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ในไตรมาส 1/2563 อาจแย่กว่าคาดการณ์ได้ สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เชื่อว่าประเทศสหรัฐฯ ฝรั่งเศสและเยอรมนีจะผ่านจุดพีคได้ภายใน 1 -2 สัปดาห์นี้ ญี่ปุ่นก็น่าจะควบคุมการแพร่ระบาดได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น จํานวนผู้ที่หายจากการติดเชื้อทั่วโลกก็สูงกว่า 250,000 รายแล้ว ติดตามทิศทางราคานํ้ามันดิบที่มีความผันผวน และติดตามมาตรการต่างๆ ของรัฐบาลไทย หลังจากประกาศ พรก.ฉุกเฉิน ตั้งแต่ 26 มีนาคม คงจะมีมาตรการต่างๆ ออกมาอย่างต่อเนื่องในช่วง 1 เดือนนับจากนี้ไป เช่น อาจจะมีการจํากัดเวลาในการทํากิจกรรมต่างๆ มากขึ้น
อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นไทย กระทบต่างๆ รับรู้ไปในราคาหุ้นที่ปรับลดลงมาส่วนหนึ่งแล้ว ขณะที่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของกนง. มาตรการเพิ่มสภาพคล่องและช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบในด้านต่างๆ รวมถึงมาตรการเยียวยาและกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐบาลทั้ง 3 ระยะ จะมีแนวโน้มช่วยบรรเทาผลกระทบของการชะลอตัวทางเศรษฐกิจและช่วยประคับประคองจิตวิทยาการลงทุนรวมทั้งส่งผลบวกต่อบางอุตสาหกรรมได้ และยังมีมุมมบวกต่อ REITs ส่วนต่างระหว่างอัตราเงินปันผลของ REITs เมื่อเทียบกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล อายุ 10 ปี (Spread) อยู่ในระดับค่อนข้างสูง จากการที่ REITs ถูกเทขายในช่วง riskoff มองเป็นโอกาสทยอยสะสมสําหรับการลงทุนระยะยาว
สำหรับการลงทุนในสัปดาห์นี้เลือกแนะนํากองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ดิจิทัล ( DIF)เพราะเป็นกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานแบบมีกรรมสิทธิ์ที่เข้าลงทุนในสินทรัพย์ โทรคมนาคม ซึ่งมีโอกาสเติบโตจากผู้เช่าหลักอย่าง TRUE และผู้เช่ารองอย่าง DTAC เพื่อรองรับการใช้เสาในยุค 5G แม้ราคาหุ้น DIF ปรับลง 9.8% แต่มองว่ามีความเสี่ยงจํากัด เนื่องจากรายได้เกือบ 100% มาจากรายได้ค่าเช่าจาก TRUE นอกจากนี้ ราคาหุ้นที่ปรับลงยังทําให้อัตราผลตอบแทนปันผลเพิ่มขึ้นเป็นปีละ 7% ซึ่งน่าสนใจภายใต้ภาวะดอกเบี้ยขาลง อีกทั้งยังเป็นหุ้น Value ปัจจุบันมีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิสูงกว่ามูลค่าตลาด 12% และมีโอกาสได้อานิสงส์จากเม็ดเงินที่จะไหลเข้าในกองทุน SSF แทน LTFในปีนี้ จึงมอง DIFเป็นทางเลือกที่น่าสนใจอันดับต้นๆ ในกลุ่ม IFF&REIT
DIF เป็นกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานแบบมีกรรมสิทธิ์ซึ่งเข้าลงทุนในทรัพย์สินโทรคมนาคมที่ประกอบด้วยเสาโทรคมนาคม 15,271 เสา และระบบใยแก้วนําแสงระยะทาง 2.58 ล้านคอร์กม. โดยมี TRUEเป็นผู้เช่าหลัก (เซ็นสัญญาเช่ายาวถึงปี 2043) และถือหน่วยลงทุน 30% ใน DIF
ฝ่ายวิจัยบล.ไทยพาณิชย์คาดปี 2563 DIF จะมีกําไรปกติ 1.13 หมื่นล้านบาท เติบโตต่อเนื่อง 8.5% หลักๆ จากการรับรู้รายได้ค่าเช่าเต็มปีจากการมีทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นเข้ามาใน ไตรมาส 3/2562 ขณะที่ สถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสคาดกระทบต่อผลประกอบการของ DIFในระดับตํ่า ประเมินราคาเป้าหมายหุ้นละ 19 บาท และคาดมีเงินปันผลจ่ายปี 2563 หน่วยละ 1.04 บาท คิดเป็นอัตราผลตอบแทนสูงน่าสนใจถึงปีละ7.0% ความเสี่ยงสําคัญ คือ ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวขึ้นมาก, TRUEไม่ขยายระยะเวลาเช่าเสาโทรคมนาคม, แรงเทขายจาก TRUE