กำไรปตท.สดใส

นายพิจินต์ อภิวันทนาพร ผู้จัดการฝ่ายผู้ลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยว่า แนวโน้มการดำเนินงานในปี 2561 น่าจะเติบโตดี หากราคาน้ำมันดิบดูไบเคลื่อนไหวอยู่ที่ในกรอบ 60-65 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจากปีก่อนราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 53.14 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งหากราคาน้ำมันปรับขึ้น 1 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จะส่งผลให้บริษัทมีกำไรดีขึ้นประมาณ 200-300 ล้านบาท

“ราคาน้ำมันปีนี้ดีกว่าที่เราคาดการณ์ไว้ ปัจจุบันเคลื่อนไหวอยู่ 63-64 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เนื่องจากหลายปัจจัยสนับสนุน เช่น ความต้องการใช้น้ำมันของโลกในปี 2561 คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.3 ล้านบาร์เรลต่อวันไปอยู่ที่ระดับ 99.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ส่วนปริมาณน้ำมันดิบคงคลังจะเข้าสู่ค่าเฉลี่ย 5 ปี จากมาตรการลดกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปกและนอกกลุ่ม การควบคุมการผลิตของลิเบียและไนจีเรีย และปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลาง แต่ยังคงมีปัจจัยกดดันราคา ปริมาณการผลิตเชลออยล์ในสหรัฐที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องตามราคาน้ำมันดิบ”นายพิจินต์ กล่าว

สำหรับราคาขายก๊าซฯได้เพิ่มขึ้นตาม ราคาน้ำมัน และประเมินค่าการกลั่นอ้างอิงสิงคโปร์ในปี 2561 คาดว่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ระดับประมาณ 6.8-7 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ขณะที่ประเมินราคาปิโตรเลียมมีทิศทางสูงกว่าปีก่อน

นายพิจินต์ กล่าวถึงงบลงทุนปี 2561 ว่า บริษัทวางไว้จำนวน 2.46 แสนล้านบาท เพื่อปรับโครงสร้าง จำนวน 1.59 แสนล้านบาท เช่น การเพิ่มทุนให้บริษัท ปตท.น้ำมัน และการค้าปลีก (PTTOR) นำมาซื้อสินทรัพย์จากปตท. ซึ่งจะโอนทรัพย์สินเสร็จภายในปีนี้ และ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯได้ปี 2562 และเพิ่มทุนธุรกิจถ่านหิน ส่วนที่เหลืออีก 8.7 หมื่นล้านบาท ลงทุนท่อส่งก๊าซเส้นที่ 5 ธุรกิจก๊าซธรรมชาติ สำหรับการซื้อหุ้นบริษัทไออาร์พีซี (IRPC) เพิ่มขึ้น ก็เพื่อต้องการให้มีสัดส่วนการถือหุ้นในระดับใกล้เคียงบริษัทในอื่นๆในกลุ่ม เท่านั้น โดยบริษัทอาจจะมีการระดมทุนโดยออกหุ้นกู้ประมาณ 700-800 ล้านบาท เพื่อทดแทนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนด

นายพิจินต์ กล่าวต่อไปว่า บริษัทเตรียมจัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 12 เม.ย. นี้ จะมติขออนุมัติผู้ถือหุ้นในการแตกพาร์ จาก 10 บาท เป็น 1 บาท เพื่อให้นักลงทุนรายย่อยเข้ามาลงทุนหุ้น PTT มากขึ้น จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนเพียง 4 % จากที่ผ่านมาเคยสูงถึง 6-7%