HoonSmart.com>>ดัชนีดาวโจนส์ทะยานกว่า 9.36% ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ประกาศภาวะฉุกเฉินทั่วประเทศพร้อมกับเตรียมอัดฉีดเงิน 5 หมื่นล้านดอลลาร์ รัฐบาลพร้อมใช้ทุกเครื่องมือให้ตลาดเงินทำงาน เฟดเร่งซื้อพันธบัตร หนุนธนาคารพาณิชย์มีเงินปล่อยกู้ แคนาดาลดดอกเบี้ยฉุกเฉินลง 0.5% เหลือ 0.75% อิตาลี-สเปนห้ามทำการชอร์ตเซลหุ้นบางตัว ส่วนธนาคารกลางจีนจะอัดฉีดเงิน 79 พันล้านดอลลาร์ ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (DJIA) ปิดตลาดวันที่ 13 มีนาคม 2563 ที่ 23,185.62 จุด เพิ่มขึ้น 1,985 จุด หรือ 9.36% หลังจากที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ประกาศภาวะฉุกเฉินทั่วประเทศพร้อมกับเตรียมอัดฉีดเงิน 50 พันล้านดอลลาร์ เพื่อต่อสู้กับการระบาดของไวรัสโควิด-19
ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,711.02 จุด เพิ่มขึ้น 230.38 จุด, +9.29%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,874.88 จุด เพิ่มขึ้น 673.07 จุด, +9.35%
ในการแถลงข่าวที่ทำเนียบข่าวช่วงบ่ายเมื่อวานนี้ตามเวลาสหรัฐฯ ซึ่งมีผู้บริหารระดับสูงจากภาคธุรกิจค้าปลีกและธุรกิจเวชภัณฑ์ ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่า ได้เร่งกระบวนการการตรวจสอบผู้ติดเชื้อ โดยคาดว่าจะมีชุดตรวจสอบออกมา 50,000 ชุดในสัปดาห์หน้า รวมทั้งเสริมความสามารถของโรงพยาบาลและแพทย์ เพื่อรองรับการรักษาผู้ติดเชื้อ
นอกจากนี้ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวว่า จะยกเว้นการเก็บดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อการศึกษา พร้อมพักชำระหนี้ในส่วนที่เป็นเงินของรัฐ และจะซื้อน้ำมันดิบที่ราคาได้ลดลงต่ำมากเพื่อเพิ่มปริมาณน้ำมันสำรอง
นางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรได้แจ้งต่อสมาชิกพรรคเดโมแครตในสภาผู้แทนราษฎรหลังปิดตลาดว่า ได้บรรลุข้อตกลงกับทำเนียบขาวแล้วในมาตรการช่วยเหลือเพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และมีการลงคะแนนเพื่อที่จะให้ความเห็นชอบอนุมัติเป็นกฎหมายในเย็นวันศุกร์
นายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกล่าวว่า รัฐบาลจะใช้เครื่องมือทุกอย่างที่มี เพื่อสนับสนุนให้ตลาดเงินทำงาน ขณะที่ธนาคารกลาง(เฟด) กล่าวว่า จะเร่งการซื้อพันธบัตรประจำเดือน เพื่อช่วยให้ธนาคารพาณิชย์สามารถปล่อยกู้ให้กับภาคธุรกิจได้
นักเศรษฐศาสตร์จากเจพี มอร์แกน แอนด์ เชส โค คาดการระบาดครั้งใหญ่ของไวรัสทำให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย โดยจีดีพีจะติดลบสองไตรมาสติดต่อกัน
มหาวิทยาลัยมิชิแกนเผยผลสำรวจ ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเดือนกุมภาพันธ์ลดลงสู่ระดับ 95.9 แต่สูงกว่า 95.0 ที่นักวิเคราะห์คาด
หุ้นกลุ่มสายการบินปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยหุ้นเดลต้า แอร์ไลน์ เพิ่มขึ้น 4.7% หลังประกาศจะลดเที่ยวบินลด 40% และยกเลิกเที่ยวบินไปยุโรป หุ้นอเมริกัน แอร์ไลน์เพิ่มขึ้น 6.4% หุ้นยูไนเต็ด แอร์ไลน์เพิ่มขึ้น 4.6%
หุ้นเรือสำราญ นอร์วีเจียน ครุยส์ ไลน์เพิ่มขึ้น 15% หลังงดการล่องเรือไปจนถึงวันที่ 11 เมษายน
หุ้นออราเคิล กรุ๊ปเพิ่มขึ้น 20.4% หลังรายงานการเติบโตของรายได้ที่สูงสุดในรอบ 2 ปี
หุ้นกลุ่มพลังงานเพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล เพิ่มขึ้น 2.53% หุ้นเชฟรอน เพิ่มขึ้น 9.39%
ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยกลุ่มทรัพยากรพื้นฐานเพิ่มขึ้น 5.3% กลุ่มรถยนต์เพิ่มขึ้น 1.5% และกลุ่มสาธารณูปโภคเพิ่มขึ้น 2.7% หลังจากรัฐบาลหลายประเทศได้เร่งใข้มาตรการเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโควิด-19
ธนาคารกลางแคนาดาลดดอกเบี้ยฉุกเฉินลง 0.50% มาที่ 0.75% ก่อนที่จะมีการประกาศมาตรการการคลังขนาดใหญ่เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และขอให้ประชาชนเลื่อนหรือยกเลิกการเดินทางออกนอกประเทศโดยไม่จำเป็น เพื่อสกัดการระบาดของไวรัส
สหภาพยุโรปเตรียมที่จะผ่อนคลายหลักเกณฑ์การใช้จ่ายของรัฐบาล ขณะที่ในอิตาลีและสเปนมีการห้ามทำการชอร์ตเซลหุ้นบางตัว ส่วนธนาคารกลางจีนจะอัดฉีดเงิน 79 พันล้านดอลลาร์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ธนาคารกลางสหภาพยุโรปเลื่อนการทดสอบ Stress test ธนาคารพาณิชย์ออกไปและผ่อนคลายหลักเกณฑ์การดำรงเงินกองทุน เพื่อกันไม่ได้เลี่ยงการทำธุรกิจในยูโรโซนที่กำลังได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัส
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 5,366.11 จุด เพิ่มขึ้น 128.63 จุด, +2.46%
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 299.16 จุด เพิ่มขึ้น 4.23 จุด, +1.43%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 4,118.36 จุด เพิ่มขึ้น 74.11 จุด, +1.83%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมันปิดที่ 9,232.08 จุด เพิ่มขึ้น 70.95 จุด, +0.77%
หุ้นโรชบริษัทยาจากสวิตเซอร์แลนด์เพิ่มขึ้น 3.1% หลังที่สำนักงานอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) ใช้อำนาจฉุกเฉินอนุมัติวิธีการตรวจสอบหาเชื้อไวรัสโควิด-19 ของบริษัท
ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนเมษายนเพิ่มขึ้น 23 เซนต์ปิดที่ 31.73 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนพฤษภาคมเพิ่มขึ้น 63 เซนต์ปิดที่ 33.85 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล