ทริสฯให้เครดิตพินิจ ‘ลบ’ CPALL-CPF คาดกู้ซื้อเทสโก้หนี้เพิ่ม-เสี่ยงสูง

HoonSmart.com>>ทริสเรทติ้งประกาศเครดิตพินิจ “ลบ” อันดับเครดิตองค์กร & ตราสารหนี้ บริษัท ซีพี ออลล์  และบริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร หลังประกาศใช้เงินกู้สำหรับการร่วมลงทุนในกลุ่มเทสโก้เอเชีย หากประสบความสำเร็จ  หนี้สินเพิ่มขึ้นส่งผลต่อความเสี่ยงทางการเงินเป็นอย่างมาก คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนจะสูงขึ้น  เผย CPALL มีหนี้หุ้นกู้ 33,000 ล้านบาท  CPF สูงถึง 107,500 ล้านบาท 

บริษัท ทริสเรทติ้งประกาศ “เครดิตพินิจ” แนวโน้ม “ลบ” อันดับเครดิตองค์กรและตราสารหนี้ทั้งหมดของ บริษัท ซีพี ออลล์ (CPALL) เนื่องจากบริษัทประกาศจะลงทุนในสัดส่วน 40% ในบริษัท เทสโก้ สโตร์ส (ประเทศไทย) และ Tesco Stores (Malaysia) Sdn.Bhd. รวมกันเรียกว่า “กลุ่มเทสโก้เอเชีย” ซึ่งประกอบธุรกิจค้าปลีกภายใต้เครื่องหมายการค้า Tesco Lotus ในประเทศไทย และ Tesco ในประเทศมาเลเซีย ปัจจุบันบริษัทมีหุ้นกู้มูลค่า 33,000 ล้านบาท

ทริสฯมองว่าการซื้อกิจการในครั้งนี้จะช่วยเสริมสถานะความแข็งแกร่งในธุรกิจค้าปลีกของบริษัทผ่านทางการร่วมเป็นเจ้าของธุรกิจค้าปลีกชั้นนำในประเทศไทยและมาเลเซีย

อย่างไรก็ตาม ทริสฯคาดว่าการซื้อกิจการ โดยใช้เงินกู้ หากประสบความสำเร็จจะส่งผลให้ระดับหนี้สินของบริษัทเพิ่มขึ้นและส่งผลต่อความเสี่ยงทางการเงินเป็นอย่างมาก คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนจะสูงขึ้นอยู่ที่ระดับ 75% จากระดับ 68% ในปี 2562 ปัจจุบันบริษัทมีหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันจำนวน 6 ชุด มูลค่ารวม 33,000 ล้านบาท

ทริสฯจะทบทวนเครดิตพินิจของบริษัทอีกครั้งหากธุรกรรมเสร็จสิ้น และได้ทำการวิเคราะห์ผลกระทบที่จะมีต่อสถานะเครดิตของบริษัทอย่างถี่ถ้วน

เมื่อวันที่ 9 มี.ค. 2563 บริษัทประกาศว่าได้บรรลุข้อตกลงที่จะลงทุนในสัดส่วนไม่เกิน  40% ในกลุ่มเทสโก้เอเชีย ร่วมกับ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์ โฮลดิ้ง  (ถือหุ้น 40%) และบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) 20%  ทั้งนี้ มูลค่าเงินลงทุนสัดส่วน  40% ในส่วนของ CPALL  เทียบเท่ากับ 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (หรือประมาณ 9.6 หมื่นล้านบาท) โดยบริษัทจะใช้เงินกู้ทั้งจำนวนสำหรับการลงทุนครั้งนี้

เช่นเดียวกับ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF)  บริษัททริสเรทติ้งประกาศ “เครดิตพินิจ” แนวโน้ม  “ลบ” สำหรับอันดับเครดิตองค์กรและตราสารหนี้ทั้งหมดของ หลังจากบริษัทประกาศว่าจะลงทุนในสัดส่วน  20% ในกลุ่มเทสโก้เอเชีย เทียบเท่ากับ 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (หรือประมาณ 4.8 หมื่นล้านบาท) โดยบริษัทจะใช้เงินกู้เป็นส่วนใหญ่สำหรับการลงทุนครั้งนี้

ทริสเรทติ้งคาดว่าการซื้อกิจการโดยใช้เงินกู้ครั้งนี้ หากประสบความสำเร็จจะส่งผลให้ระดับหนี้สินเพิ่มขึ้นและส่งผลต่อความเสี่ยงทางการเงินเป็นอย่างมาก โดยคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนจะสูงขึ้นอยู่ที่ระดับ 65% จากระดับ 62% ในปี 2562  ปัจจุบัน CPF มีหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันรวม 92,500 ล้านบาท และหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน 15,000 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 107,500 ล้านบาท

การทำธุรกรรมในครั้งนี้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อบริษัทบรรลุเงื่อนไขบังคับก่อนตามที่กำหนดไว้อย่างครบถ้วน ซึ่งรวมถึงการได้รับอนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง ซึ่งประกอบไปด้วยสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า Ministry of Domestic Trade and Consumer Affairs of Malaysia และได้รับอนุมัติจากผู้ถือหุ้นของ Tesco PLC ซึ่งบริษัทคาดว่าหากธุรกรรมดังกล่าวได้รับความเห็นชอบ กระบวนการซื้อกิจการจะแล้วเสร็จภายในปลายปี 2563 นี้