“พระนาย” PSTC แจงหุ้นดิ่งฟลอร์ ระบุยกขายวีไอ 1%-ถูก Force sell

HoonSmart.com>>ภาวะที่ตลาดผิดปกติ นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นง่าย ๆ พร้อมกระโดดหนีตาย รอบนี้ถึงคิวเท เพาเวอร์ โซลูชั่น เทคโนโลยีฟลอร์  “พระนาย กังวาลรัตน์” บิ๊ก PSTC ออกโรงแจงหุ้นฟลอร์ หลังพบผู้บริหารขายหุ้นราคาต่ำกว่า 130 ล้านหุ้น ระบุ เป็นการขายหุ้นให้นักลงทุนวีไอ 173 ล้านหุ้น ราคา 0.35 บาท ชี้บริษัทไม่ได้มีปัญหา หุ้นที่ขายเพียง 1% เศษ หุ้นที่ขายอีกส่วนยอมรับถูก Force sell เพราะใช้มาร์จิ้นในการซื้อ จึงต้องขายเพื่อปิดบัญชี 

หุ้นบริษัท เพาเวอร์ โซลูชั่น เทคโนโลยี (PSTC) ราคาร่วงติดฟลอร์ 30% อยู่ที่ 0.35 บาท ลดลง 0.15 บาท ในช่วงเปิดตลาดไม่นานวันที่ 2 มี.ค.2563 หลังมีข่าวเรื่อง ผู้บริหาร 2 คน นายพระนาย กังวาลรัตน์ ประธานกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ขายหุ้น PSTC รวม 30,213,200 หุ้น ในราคา 0.50-0.54 บาท และนายภาณุ ศีติสาร ประธานกรรมการ ขายหุ้น PSTC รวม 100 ล้านหุ้น ในราคา 0.50-0.57 บาท ในช่วงวันที่ 26-28 ก.พ.2563 เกิดคำถามว่า ผู้บริหาร PSTC ขายหุ้นออกทำไม หรือมีปัญหาภายในบริษัท  PSTC เป็นหุ้นดี ผลประกอบการปี 2562 โตแรง 3,596% กระแสข่าวลบที่ออกมา ทำให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่น กระหน่ำขายฟลอร์ ก่อนราคากระเตี้ยงขึ้นเล็กน้อยมาปิดที่ 0.36 บาท ติดลบ 0.14 บาทหรือ 28% ด้วยมูลค่าการซื้อขายสูงกว่า 651 ล้านบาท

   พระนาย กังวาลรัตน์

นายพระนาย กังวลรัตน์ ประธานกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพาเวอร์ โซลูชั่น เทคโนโลยี (PSTC) เปิดเผย www.HoonSmart.com ถึงสาเหตุราคาหุ้นดิ่งฟลอร์ 30% ว่า บริษัท ไม่ได้มีปัญหา ส่วนที่ผู้บริหารนายพระนาย และนายภาณุ ศีติสาร ขายหุ้นออกมา ช่วงวันที่ 26-28 ก.พ. 2563 รวมกันประมาณ 130.21 ล้านหุ้น ราคาเฉลี่ย 0.52  บาท ซึ่งเป็นการขายให้นักลงทุนรายใหญ่ ที่ติดต่อเข้ามาสนใจซื้อลงทุน จึงขายหุ้นบิ๊กล็อต จำนวน 173 ล้านหุ้น ราคา 0.35 บาทซึ่งเป็นการเข้าลงทุนระยะยาวของของนักลงทุน

“นักลงทุนที่ติดต่อเข้ามา ขอซื้อราคาที่ลงทุนได้ และขายหุ้นให้ไป ซึ่งถือว่าไม่มาก หุ้นบริษัทมีกว่า 1 หมื่นล้านหุ้น (พาร์ 0.10 บาท) ดังนั้นจำนวนที่ซื้อไป 1% เศษ ไม่ได้มีอำนาจในการบริหารใดๆ เป็นเพียงการลงทุนตามปกติ” นายพระนายกล่าว

นอกจากนี้ มองว่าสินเชื่อเพื่อซื้อหุ้นหรือมาร์จิ้นโลนเป็นเครื่องมือที่นำมาใช้ในการลงทุน เลยตัดสินใจกู้เงินมาเพื่อซื้อหุ้น แต่ตลาดเกิดปัญหาไข้หวัดไวรัสโควิด-19 ทำให้ราคาหุ้นของบริษัทตกลงมารุนแรง  หุ้นอยู่ในสถานะถูกบังคับขาย( force sell) จึงจำเป็นต้องตัดขายออกมาทั้งหมด เพื่อปิดสถานะ และทำการขายหุ้นให้นักลงทุนรายใหญ่บางคนเข้ามาเก็บเพื่อลงทุนระยะยาวต่อไป

อย่างไรก็ตาม จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ไม่กระทบแผนธุรกิจ หรือโครงสร้างการบริหารแต่อย่างใด อีกทั้งโครงสร้างของกลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง

นายพระนายกล่าวว่า ขอให้นักลงทุนและผู้ถือหุ้นมั่นใจได้ในเรื่องของแผนการดำเนินธุรกิจยังคงเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยในปี2563 ตั้งเป้ารายได้เติบโต มากกว่า 20% จากปีก่อน  บริษัทฯไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตไวรัสที่แพร่ระบาดอยู่ในขณะนี้ เนื่องจากธุรกิจทุกกลุ่มมีสัญญาณที่ดี รวมทั้งมีงานในมือรอรับรู้รายได้ในส่วนของธุรกิจ EPC ไว้แล้วกว่า 3,000 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้อย่างต่อเนื่อง และรวมถึงมีโรงไฟฟ้าชีวภาพขนาด 5.6 เมกะวัตต์ ได้เริ่ม COD ไปแล้วเมื่อ 28 ก.พ.2563 ขนาด 4.6 เมกะวัตต์ ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างการทดสอบคาดว่าจะสามารถจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ปลายสัปดาห์นี้

นอกจากนี้ ยังเตรียมงบลงทุนประมาณ 1,000 ล้านบาท  เน้นการขยายการลงทุนโรงไฟฟ้า Private PPA เพื่อสร้างรายได้และผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว ปัจจุบันบริษัทฯมีความพร้อมทั้งแหล่งเงินทุนและเทคโนโลยี รวมทั้งยังเดินหน้าลงทุนในธุรกิจด้านการจำหน่ายระบบก๊าซ LNG ให้กับกลุ่มอุตสาหกรรมเพิ่มเติม

คณะกรรมการบริษัทเพิ่งมีมติเมื่อวันที่ 25 ก.พ. 2563 เสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติการเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้(พาร์) จากหุ้นละ 0.10 บาทเป็น 0.50 บาท ส่งผลให้จำนวนหุ้นลดลง จำนวน 9,487,798,320 หุ้น เป็นจำนวน 2,371,949,580 หุ้น และจ่ายเงินปันผลหุ้นละ 0.010 บาท รวมเป็นเงิน 118,597,478.96 บาท หลังจากปี 2562 มีกำไรสุทธิถึง  3,128  ล้านบาท ก้าวกระโดดจากปี 2561 มีกำไรเพียง  84 ล้านบาท เพราะมีรายได้พิเศษ จำนวน 3,383 ล้านบาทจากการขายหุ้นบริษัท ไทยไปป์ ไลน์ เน็ตเวิร์ค จำนวน 43% ให้บริษัท ผลิตไฟฟ้า