TICON ทุ่มงบลงทุน 1 หมื่นล. ตั้งเป้าเบอร์หนึ่งในอาเซียนภายใน 3 ปี

“ไทคอน” เผยโรดแมป 3 ปี ทะยานสู่ผู้นำอันดับหนึ่งในระดับอาเซียน พร้อมทุ่มงบลงทุนกว่า 10,000 ล้านบาท ชูกลยุทธ์ Total Dimension เดินหน้าขับเคลื่อนองค์กรในทุกมิติ ผ่านแผนธุรกิจเชิงรุก 4 ด้าน มั่นใจครองความเป็นผู้นำตลาดในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง หลังกำไรสุทธิปี 2560 เติบโตขึ้น 73% จากปีที่ผ่านมา พร้อมตั้งเป้าปี 2561 เติบโตก้าวกระโดด รับภาพรวมตลาดแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น จากนโยบายอุตสาหกรรม 4.0 ความเชื่อมั่นนักลงทุนฟื้นตัว

นายวีรพันธ์ พูลเกษ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TICON กล่าวว่า ปัจจุบันไทคอนเป็นผู้นำตลาดการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรมแบบครบวงจรในอาเซียนอย่างต่อเนื่อง ด้วยสัดส่วนการตลาดกว่า 48% โดยให้บริการทั้งโรงงานและคลังสินค้าให้เช่ารวมกว่า 2.7 ล้านตารางเมตร ขณะที่ผลประกอบการในปี 2560 ที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 2,086 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 482 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 73% จากปี 2559 ข ณะที่ปี 2561 ตั้งเป้าเติบโตอย่างก้าวกระโดดสอดคล้องกับภาพรวมตลาดที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น จากนโยบายอุตสาหกรรม 4.0 และความเชื่อมั่นในกลุ่มนักลงทุนที่กำลังฟื้นตัว จึงมั่นใจครองความเป็นผู้นำตลาดในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง

วีรพันธ์ พูลเกษ

สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมในปีนี้ คาดว่ามีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมองเห็นสัญญาณบวกจากปัจจัยต่างๆ ได้แก่ แรงหนุนด้านการลงทุนของรัฐบาล อาทิ การลงทุนก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง การอนุมัติร่าง พ.ร.บ. โครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) และนโยบายไทยแลนด์ 4.0 เป็นต้น อีกทั้งยังมีการส่งเสริมการลงทุนของภาคเอกชนที่มาจากทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ โดยเฉพาะในธุรกิจ New S-Curve รวมถึงการเติบโตแบบก้าวกระโดดของธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ ที่จะนำไปสู่ความต้องการด้านการจัดเก็บและกระจายสินค้า ซึ่งส่งผลให้ความต้องการโรงงานและคลังสินค้าที่มีมาตรฐานเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

อย่างไรก็ตามเพื่อให้สอดคล้องกับปัจจัยดังกล่าวบริษัทจึงทุ่มงบลงทุน 10,000 ล้านบาท พร้อมประกาศโรดแมปแผนการดำเนินธุรกิจ 3 ปี ภายใต้ปรัชญาการดำเนินงานในการเป็น “ผู้สร้างสรรค์ประสบการณ์อันทรงคุณค่าเพื่อลูกค้า” หรือ “Delivering Valuable Experiences” โดยเราจะเป็นเสมือนเพื่อนคู่คิดของลูกค้าและพันธมิตร ที่พร้อมจะส่งมอบสินค้า โซลูชั่น และบริการที่ตรงความต้องการ ที่สำคัญจะใช้นโยบายเชิงกลยุทธ์ในการขับเคลื่อนองค์กรและพันธมิตรร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเตรียมความพร้อมก้าวสู่อุตสาหกรรมยุคใหม่ หรืออุตสาหกรรมยุค 4.0

“จากกลยุทธ์การขับเคลื่อนองค์กรในทุกมิติ และแผนธุรกิจต่างๆ ภายใต้โรดแมป 3 ปีที่วางไว้ ตลอดจนการเดินหน้าสร้างความเชื่อมั่นในกลุ่มผู้ประกอบการทุกอุตสาหกรรมและกลุ่มนักลงทุน เรามั่นใจว่าจะช่วยผลักดันกำไรสุทธิปีนี้ให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด สามารถครองความเป็นผู้นำตลาดในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ขยายฐานลูกค้าทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศให้กว้างขึ้น และก้าวสู่ผู้นำตลาดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมในระดับอาเซียนภายในปี 2020 ด้วยพื้นที่บริหารจัดการกว่า 3 ล้านตารางเมตร” นายวีรพันธ์ กล่าว

ด้านนายโสภณ ราชรักษา ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าแผนการดำเนินธุรกิจ 3 ปี ไทคอนจะใช้กลยุทธ์ Total Dimension ขับเคลื่อนองค์กรในทุกมิติผ่านแผนธุรกิจเชิงรุก 4 ด้าน ได้แก่ 1.รุกเจาะตลาดด้วยจุดแข็งด้านบริการที่ครบวงจร พร้อมเปิดธุรกิจใหม่ขยายฐานลูกค้า 2.รุกสร้างนวัตกรรมให้องค์กรและผลิตภัณฑ์ 3.รุกขยายพื้นที่ยุทธศาสตร์ ผลักดันธุรกิจให้เติบโตและ 4.รุกวางรากฐานการเงินที่แข็งแกร่ง

โสภณ ราชรักษา

สำหรับแผนเจาะตลาดด้วยจุดแข็งด้านบริการครบวงจร พร้อมเปิดธุรกิจใหม่ขยายฐานลูกค้า” ตอกย้ำความเชี่ยวชาญในการให้บริการแบบครบวงจร ทั้งรูปแบบพร้อมใช้ (Ready-Built) และพัฒนาตามความต้องการของลูกค้า (Built-to-Suit) เดินหน้าเพิ่มสัดส่วนในกลุ่ม Built-to-Suit มากขึ้น เป็น 100,000 ตารางเมตรต่อปี โดยจะชูจุดแข็งแนวทางการทำงานแบบ Co-creation ที่สามารถตอบโจทย์ธุรกิจของลูกค้าได้อย่างตรงจุด โดยไทคอนกำหนดเป้าหมายที่จะขยายฐานลูกค้าผ่านเครือข่ายของกลุ่มบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ลิมิเต็ด (FPL) นอกจากนี้ไทคอนยังมีโครงการที่จะจับมือกับพันธมิตรที่มีชื่อเสียงระดับสากลในการเปิดตัวธุรกิจใหม่ที่หนุนการเติบโตของตลาดอี-คอมเมิร์ซ และอุตสาหกรรมในกลุ่ม New S-Curve

นอกจากนี้บริษัทมีเป้าหมายเพิ่มอัตราการเช่าพื้นที่ (Occupancy rate) เป็น 85% ภายในปี 2563 จากปัจจุบันที่มีอยู่ 69% รวมทั้งมีแผนขยายพื้นที่ทั้งประเทศไทยและต่างประเทศ โดยในประเทศไทยวางแผนขยายการพัฒนาเพิ่มเติมในเขตอีอีซี เตรียมร่วมกับบริษัทพันธมิตรในกลุ่มผู้ถือหุ้นเปิดคลังที่ดินร่วมพัฒนาศักยภาพรองรับกับดีมานด์ที่เพิ่มสูงขึ้นจากนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่น จีน และยุโรป สำหรับในต่างประเทศ ยังคงให้ความสำคัญกับตลาดอินโดนีเซียที่ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง และเตรียมรุกตลาดกลุ่มอาเซียน ซึ่งมีการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมที่ใกล้เคียงกับประเทศไทยและมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูง ทั้งนี้จะขยายไปตามการขยายธุรกิจของเฟรเซอร์สที่มีธุรกิจในหลากหลายประเทศอยู่แล้ว