HoonSmart.com>>บีซีพีจีตั้งเป้า 5 ปี กำไรโต กำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 520 MW เตรียมงบลงทุน 50,000 ล้านบาท เข้าซื้อกิจการใหม่ๆ ประเดิมปี 2563 ทุ่ม 17,000 ล้านบาท ลุ้นประมูลโครงการโรงไฟฟ้าที่มาเลเซีย 100 MW ลงทุนเพิ่มในไต้หวัน อินโดนีเซีย ส่วนโรงไฟฟ้าพลังน้ำ Nam San 3A Power ที่สปป.ลาว EBITDA โตดี 15-20%
นาง ภัทร์ภูรี ชินกุลกิจนิวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบัญชี บริษัท บีซีพีจี (BCPG) เปิดเผยว่า บริษัทจัดทำแผน 5 ปี (2563-2567) เตรียมงบลงทุน 50,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่คือ ประมาณ 45,000 ล้านบาท เน้นการเข้าซื้อกิจการในต่างประเทศและกิจการที่เกี่ยวเนื่อง คาดว่าในปี 2563 จะลงทุนประมาณ 20,000 ล้านบาท เป็นการเข้าซื้อกิจการประมาณ 17,000 ล้านบาท ปัจจุบันมีการเข้าประมูลโรงไฟฟ้าที่มาเลเซีย 100 เมกะวัตต์( MW) การลงทุนเพิ่มเติมในไต้หวัน กำลังศึกษาการลงทุนโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์ม รวมทั้งการขยายกำลังการผลิตที่อินโดนีเซีย กำลังหาที่สร้างโรงไฟฟ้าใหม่ ส่วนการลงทุนในประเทศจะเป็นการลงทุนโรงไฟฟ้าชุมชน
สำหรับแหล่งเงินทุน บริษัทมีกระแสเงินสด จากการที่โรงไฟฟ้าเริ่มรับรับรู้รายได้ รวมถึงการออกหุ้นกู้และเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน หากมีความจำเป็นก็ต้องเพิ่มทุน
“ตามแผน ในปีที่ 5 คือ ในปี 2567 บริษัทฯ จะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด 520 MW จากปัจจุบันอยู่ที่ 404 MW เพิ่มมาจากโรงไฟฟ้าที่ญี่ปุ่นที่จะ COD ในปี 2564 โซลาร์รูฟท็อปในประเทศไทยที่กำลังก่อสร้าง และการเข้าซื้อกิจการในอนาคต”นางภัทร์ภูรีกล่าว
ส่วนโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ Nam San 3A Power กำลังการผลิต 69 MW จำหน่ายไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้าสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (EDL) ภายใต้สัญญารับซื้อขายไฟฟ้า 27 ปี ปัจจุบันกำลังเจรจาเปลี่ยนสัญญาเป็น EVN ที่จะขายไฟฟ้าให้กับเวียดนามแทน คาดว่าจะชัดเจนในปี 2563 จะมีผลดีเนื่องจากเวียดนามมีความต้องการใช้ไฟฟ้ามาก และค่าไฟฟ้าสูงกว่าลาว ทำให้บริษัทมีกำไรก่อนภาษีดอกเบี้ยและค่าเสื่อมหรือ EBITDA เติบโตได้สูงกว่าการขายในสปป.ลาว จากเดิมที่ EBITDA เติบโตที่ 15-20%
โครงการโรงไฟฟ้าในประเทศญี่ปุ่นอยู่ในช่วงการพัฒนา เช่น โรงไฟฟ้า Komagane กำลังการผลิต 25 MW คาดว่าจะเริ่ม COD ในปี 2563 โรงไฟฟ้า Yabuki กำลังการผลิตที่ 20 MW กำลังจัดหาผู้รับเหมา คาดว่าจะ COD ในปี 2564 และโครงการโรงไฟฟ้า Chiba กำลังการผลิต 30 MW คาดว่าจะ COD ในปี 2564 สำหรับ Chiba 2 ได้ซื้อที่ดินเรียบร้อยแล้ว อยู่ในระหว่างวางแผนก่อสร้างในอนาคต
นาง ภัทร์ภูรี กล่าวว่า บริษัทมีรายได้ในไตรมาส 3/2562 อยู่ที่ 790 ล้านบาท ลดลง 4.8% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แต่ความสามารถในการทำกำไรดีขึ้นจาก 70.4% เป็น 73.1% เนื่องจากต้นทุนในการขายที่ญี่ปุ่นสูงกว่าไทย และปี 2561 มีการจำหน่ายสินทรัพย์เข้ากองทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ประเทศญี่ปุ่น จึงทำให้มีรายได้ครั้งเดียวเข้ามา ทำให้กำไรสุทธิ อยู่ที่ 401 ล้านบาท ลดลง 64.8% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และ D/E Ratio ปัจจุบันอยู่ที่ 1.48 เท่า