BGRIM ปรับเป้ารายได้ปีนี้โตกว่าคาด-ปีหน้าโตกระโดด

BGRIM วอนนักลงทุนอย่า “แพนิค” ข่าวย้ายโรงไฟฟ้า-ปรับสัญญาซื้อขายไฟฟ้า
3 โรงกับกฟผ.เหลือ 10 ปี ยันพื้นฐานแข็งแกร่ง เตรียมปรับเป้ารายได้ปีนี้เพิ่มขึ้น หลังเข้าซื้อหุ้น
โรงไฟฟ้า “บี.กริม ยันฮี โซลาร์” พร้อมร่วมพันธมิตรสร้างการเติบโตต่อเนื่อง

นางปรียนาถ สุนทรวาทะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ (BGRIM) เปิดเผยว่า บริษัทปรับเป้ารายได้ปีนี้ว่าจะเติบโตมากกว่า 20-25% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีรายได้ 3.19 หมื่นล้านบาท เพราะการเข้าซื้อหุ้น 51% ของโรงไฟฟ้า บี.กริม ยันฮี โซลาร์ เพาเวอร์ ทำให้ BGRIM ถือหุ้นในโรงไฟฟ้าแห่งนี้ 100% โดยจะรับรู้รายได้ 500 ล้านบาทและกำไรสุทธิ 100 ล้านบาทช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ รวมทั้งมีรายได้เพิ่มขึ้นจากโรงไฟฟ้าใหม่ที่เข้ามาตามแผน 312 เมกะวัตต์

สำหรับปีหน้าคาดว่ารายได้ของบริษัทจะเติบโตอย่างก้าวกระโดด เนื่องจากจะรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าหลายโรงที่ขายไฟฟ้าได้เต็มปี และรายได้จากขายไฟฟ้าที่จะมีกำลังการผลิตเพิ่มจาก 2,091 ในปี 2561 เมกะวัตต์เป็น 2,567 เมกะวัตต์ในปี 2562 โดยเฉพาะการขายไฟฟ้าโซลาร์เซลล์ 420 เมกะวัตต์ในเวียดนามที่จะเข้ามากลางปีหน้า ขณะที่เป้าหมายการผลิตและขายไฟฟ้าดังกล่าวยังไม่รวมโครงการใหม่ๆระหว่างปีที่ BGRIM จะลงทุนร่วมกับพันธมิตรในต่างประเทศ

“แม้ว่าการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซจะยังเป็นรายได้หลัก แต่สัดส่วนไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนจะเพิ่มจาก 10% เป็น 30% โดย BGRIM จะร่วมกับพันธมิตรเข้าลงทุนในหลายประเทศ เช่น ร่วมกับ KEPCO ลงทุนโรงไฟฟ้าพลังลมในเกาหลีใต้ 99 เมกะวัตต์ ซึ่งจะขายไฟฟ้าได้ปีหน้า ล่าสุดโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำเซกอง 4 กำลังผลิต 350 เมกะวัตต์ ที่ BGRIM ถือหุ้น 20% กับพันธมิตร คือ บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง (RATCH) ได้เซ็นสัญญาขายไฟฟ้าไปแล้ว”นางปรียนาถกล่าว

ส่วนในประเทศบริษัทจะเข้าไปลงทุนไฟฟ้าโซล่าร์รูฟท็อปมากกว่า 70 เมกะวัตต์ ล่าสุด BGRIM อยู่ระหว่างเสนอราคาลงทุนติดตั้งโซล่าร์รูฟท็อปให้กับห้างเดอะมอลล์ และดิไอคอนสยาม ซึ่งบริษัทมีโอกาสได้รับการคัดเลือกสูงมาก

ปรียนาถ สุนทรวาท

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่บริษัทลงทุนเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้า บริษัทได้เดินหน้าลดต้นทุนทางการเงินต่อเนื่อง โดยในช่วงที่ผ่านมา BGRIM ออกหุ้นกู้ 6,700 ล้านบาท เพื่อปรับโครงสร้างหนี้โรงไฟฟ้า 2 แห่ง ทำให้อัตราดอกเบี้ยลดลงจาก 5.6% เหลือ 3.95% หรือลดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยลงได้ 350 ล้านบาท อีกทั้งส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยรวมที่บริษัทต้องจ่ายลดลงเหลือ 4.5% จากปีก่อนที่อยู่ที่ 4.7% ในขณะที่หนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 1.3 เท่า

“BGRIM มีแผนที่ลงทุนโรงไฟฟ้าอีกหลายแห่ง โดยตั้งเป้าเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าเป็น 2,938 เมกะวัตต์ในปี 2565 แต่บริษัทไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มทุนแต่อย่างใด โดยหนี้สินต่อทุนที่ปัจจุบันอยู่ที่ 1.3 เท่า เทียบกับเป้าหมายหนี้สินต่อทุนที่ไม่เกิน 1.5-2 เท่า ทำให้บริษัทยังมีช่องทางให้ระดมทุนหรือกู้เงินได้อีก”นางปรียนาถกล่าว

นางปรียนาถ กล่าวว่า ในส่วนการย้ายโรงไฟฟ้า 2 โรง คือ BGPR 1 และ BGPR 2 กำลังการผลิตรวม 240 เมกะวัตต์จากนิคมอุตสาหกรรม วี.อาร์.เอ็ม.ราชบุรี ไปอยู่ในพื้นที่อื่นนั้น BGRIM มั่นใจว่าจะไม่กระทบต่อการขายไฟฟ้าเข้าระบบในวันที่ 1 มิ.ย.2564 แน่นอน โดยที่ผ่านมาได้ลงนามเอ็มโอยูกับนิคมนิคมอุตสาหกรรมเอเชีย (สุวรรณภูมิ) อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ เพื่อศึกษาการสร้างโรงไฟฟ้าในพื้นที่นิคมดังกล่าวแล้ว รวมทั้งศึกษาความเป็นไปได้ในพื้นที่อื่นด้วย

“ที่นิคมฯเอเชียเราได้ลงนามเอ็มโอยูไปแล้วว่าจะขอศึกษาในการก่อสร้างโรงไฟฟ้า ล่าสุดทางเจ้าของนิคมฯได้ยื่นข้อเสนอเข้าถือหุ้นในโรงไฟฟ้า 25% อย่างไรก็ตาม เราก็มองหาพื้นที่อื่นๆที่จะสร้างโรงไฟฟ้า เช่น ที่ จ.อ่างทอง ซึ่งเป็นที่ตั้งโรงงานผลิตอาหารและเครื่องดื่ม โดยเราคัดเลือกพื้นที่ที่เราลงทุนแล้วมีกำไรสูงสุด และแม้ว่าจะมีการย้ายโรงไฟฟ้าจาก จ.ราชบุรีไปอยู่ในพื้นที่อื่น แต่ตอบแทนของการลงทุนโรงไฟฟ้าทั้ง 2 แห่งยังอยู่ที่ 18-25%”นางปรียนาถกล่าว

นางปรียนาถ กล่าวว่า นโยบายของรมว.พลังงานที่จะเปลี่ยนสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่าง BGRIM และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จากรูปแบบเดิมที่เป็นสัญญา 25 ปีให้เหลือสัญญาเพียง 10 ปี สำหรับโรงไฟฟ้า 3 แห่ง เป็นจำนวน 270 เมกะวัตต์ จากกำลังผลิตรวม 420 เมกะวัตต์นั้น จะไม่กระทบต่อ BGRIM แต่จะมีผลดีมากกว่า เพราะ BGRIM ไม่ต้องลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ ซึ่งทั้งโรงไฟฟ้าทั้ง 3 แห่งต้องใช้เงินลงทุน 1.8 หมื่นล้านบาท

“เราจะใช้เงินปรับปรุงโรงไฟฟ้าอย่างมากแห่งละ 200-300 ล้านบาทเท่านั้น และแม้ว่า BGRIM จะขายไฟฟ้าให้กฟผ.ได้เพียง 10 ปี ซึ่งถือว่าเป็นรายได้ที่มั่นคง แต่เรายังมีลูกค้าในนิคมฯทั้งรายเก่าและรายใหม่ที่พร้อมจะซื้อไฟฟ้าจากเราเพิ่ม โดยเฉพาะเมื่อการลงทุนในพื้นที่อีอีซีเพิ่มมากขึ้น ขณะที่ค่าไฟฟ้าที่เราขายให้เอกชนจะอยู่ที่ 3.3 บาทต่อหน่วยเทียบกับค่าไฟฟ้าที่ขายให้กฟผ.ที่อยู่ที่ 2.3-2.4 บาทต่อหน่วย คิดแล้วถือว่าเราได้กำไรเพิ่มขึ้น”นางปรียนาถระบุ

นางปรียนาถ ยังกล่าวว่า “บริษัทเรายังมีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง เรามีศักยภาพที่จะเติบได้อีกมากร่วมกับพันธมิตรของเรา ส่วนลูกค้าในนิคมฯที่ซื้อไฟฟ้าจากเรากว่า 300 ราย จะพบว่าในช่วง 10-20 ปีที่ผ่านมาลูกค้าไม่ทิ้งเราแม้แต่รายเดียว ดังนั้น ขออย่าแพนิค เราไม่ได้อยู่กับที่ เราอยู่ใกล้ชิดกับตลาดตลอดเวลา และปรับแผนให้กับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปเร็ว จากเดิมเราวางแผน 5 ปี แต่เราก็ปรับเปลี่ยนในทันสถานการณ์เสมอ”

นางปรียนาถ กล่าวว่า ในวันที่ 6 มิ.ย.นี้ ทีมผู้บริหาร BGRIM มีกำหนดพบปะกับนักวิเคราะห์จากสถาบันต่างๆเพื่อชี้แจงข่าวที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งทำให้นักวิเคราะห์ปรับลดราคาเป้าหมายของหุ้น BGRIM ลงมา