HoonSmart.com>>โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ ประสบความสำเร็จแผนระดมเงินเพิ่มทุนด้วยมูลค่า 74,000 ล้านบาท ผู้ถือหุ้นควักกระเป๋าเข้าจองสิทธิ์ซื้อหุ้นเพิ่มทุนหมดล็อต พร้อมเดินหน้าปรับโครงสร้างทางการเงิน เพื่อลดภาระหนี้ระยะสั้น หลังเข้าซื้อ โกลว์ พลังงาน ขณะที่หนี้สินต่อทุนสุทธิลดเหลือไม่เกิน 1 เท่า จาก 3.9 เท่า เตรียมลุยพัฒนาโปรเจ็กต์ใหม่ในอนาคต รองรับการเติบโตธุรกิจ
นายชวลิต ทิพพาวนิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ หรือ GPSC แกนนำนวัตกรรมธุรกิจไฟฟ้ากลุ่ม ปตท. เปิดเผยถึงผลการเปิดจองหุ้นสามัญเพิ่มทุนมูลค่า 74,000 ล้านบาท ระหว่าง 30 กันยายน ถึง 4 ตุลาคม 2562 ที่ผ่านมา ว่าได้รับการตอบรับจากผู้ถือหุ้นเดิมในการเข้าจองสิทธิ์และชำระค่าหุ้นเพิ่มทุนเป็นที่เรียบร้อย ตามจำนวนที่ขายหุ้นเพิ่มทุนประมาณ 1,321 ล้านหุ้น ถือเป็นความสำเร็จในการออกหุ้นเพิ่มทุนเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ดำเนินการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงทุนชำระแล้วของบริษัทฯ อีกจำนวน 13,214,285,670 บาท กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2562 ส่งผลให้ ปัจจุบัน บริษัทฯ มีทุนชำระแล้วเปลี่ยนแปลงจากเดิม 14,983,008,000 บาท เป็น 28,197,293,670 บาท
สำหรับวงเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนในครั้งนี้ บริษัทฯ จะนำไปปรับโครงสร้างทางการเงิน เพื่อการชำระหนี้ระยะสั้น (Bridge loan) คืนให้กับสถาบันการเงินและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ คือ บริษัท ปตท. และ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล ที่บริษัทฯ ใช้ในการเข้าซื้อกิจการของบริษัท โกลว์ พลังงาน หรือ GLOW และเพื่อเป็นการรักษาระดับอัตราส่วนทางการเงินให้เทียบเคียงได้กับบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน โดยมีหนี้สินต่อทุน (D/E) ไม่เกิน 1 เท่า ซึ่งปรับตัวลดลงจาก 3.9 เท่า ส่งผลให้โครงสร้างทางการเงินของบริษัทอยู่ในระดับที่เหมาะสม สามารถรองรับการลงทุนในโครงการปัจจุบันและในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
บริษัทฯ มั่นใจว่าภายหลังการเพิ่มทุน จะส่งผลให้บริษัทฯ มีสถานะทางเงินที่แข็งแกร่งและมีศักยภาพในการเติบโตทางธุรกิจ ทั้งในการพัฒนาโครงการใหม่ๆ และการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมพลังงานที่เป็นไปตามกระแสการเปลี่ยนแปลงการใช้พลังงานในปัจจุบันและอนาคต รวมถึงแนวทางการพัฒนาโครงการต่างๆ ที่เดินหน้าไปตามแผนงาน และการควบรวมกิจการกับ GLOW จะทำให้บริษัทฯ สามารถสร้างกระแสเงินสดเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อขีดความสามารถในการจ่ายเงินปันผล สำหรับผลประกอบการที่จะเกิดขึ้นในปี 2563