HoonSmart.com>> บลจ.บัวหลวง เปิดตัวกองทุน “ฟันด์ออฟฟันด์ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและอสังหาริมทรัพย์” ทั้งในและต่างประเทศ ชี้กองทุนอสังหาฯ ในไทยปันผลเฉลี่ย 5.5% ต่อปี ส่วนสิงคโปร์ จ่ายสูงเฉลี่ย 6.3% ต่อปี เปิด IPO 27 ส.ค.–3 ก.ย.นี้ เติมเต็มจัดสรรเงินลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกทั้งในประเทศและต่างประเทศ ท่ามกลางแนวโน้มดอกเบี้ยต่ำ
นายพีรพงศ์ จิระเสวีจินดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) บัวหลวง จำกัด เปิดเผยว่า กองทุนเปิดฟันด์ออฟฟันด์บัวหลวงโครงสร้างพื้นฐานและอสังหาริมทรัพย์ หรือ กองทุน B-IR-FOF จะเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) ในระหว่างวันที่ 27 สิงหาคม – 3 กันยายน 2562 นับเป็นครั้งแรกที่กองทุนบัวหลวงเปิดตัวกองทุนรวมประเภทฟันด์ออฟฟันด์ที่จะไปลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและอสังหาริมทรัพย์ ผ่านหน่วยลงทุนของกองทุนรวมหลายกองทุน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
“เราออกกองทุนนี้ ตามเสียงเรียกร้องของลูกค้าและนักลงทุนที่ต้องการจัดสรรเงินลงทุนส่วนหนึ่งไปยังสินทรัพย์ทางเลือกที่มีเป้าหมายจะให้ผลตอบแทนในระดับความเสี่ยงที่ต่ำกว่าหุ้น แต่สูงกว่าตราสารหนี้” นายพีรพงศ์ กล่าว
B-IR-FOF จะลงทุนผ่านกองทุนรวมหลายกองทุน ทั้งในประเทศและต่างประเทศที่เป็นกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (Property Fund) ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) และกองทุนรวมอีทีเอฟ (ETF) ที่เน้นลงทุนหน่วยลงทุนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ หรือกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งนี้ จะลงทุนในกองทุนรวมดังกล่าวโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) ของกองทุนรวม B-IR-FOF
นายพีรพงศ์ กล่าวว่า จุดเด่นของ B-IR-FOF คือ ทำให้นักลงทุนสามารถกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกที่มีรายได้จากธุรกิจที่มีศักยภาพได้หลากหลายมากขึ้น เช่น สำนักงาน ศูนย์การค้า โรงงาน คลังเก็บสินค้า เซอร์วิส อพาร์ทเมนท์ โรงแรม ศูนย์การประชุม ศูนย์กระจายสินค้าขนาดใหญ่ และโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของประเทศ
การที่ B-IR-FOF เปิดให้จองซื้อขั้นต่ำที่ 500 บาท ทำให้ผู้ที่มีเงินลงทุนเริ่มต้นน้อยมีโอกาสเข้าถึงการลงทุนผ่านกองทุนรวมนี้ได้ด้วย ทั้งยังมีโอกาสรับเงินปันผลไม่เกินปีละ 4 ครั้ง
นอกจากนี้ B-IR-FOF ยังสามารถเลือกลงทุนในกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและอสังหาริมทรัพย์ ของ บลจ.ต่างๆ ในไทย รวมถึงกองทุนดังกล่าวที่กองทุนบัวหลวงเป็นบริษัทจัดการได้ หากกองทุนนั้นจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ และมีราคาซื้อเหมาะสม ก็สามารถเข้าลงทุน
ปัจจุบัน ประเทศไทยมีกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ 38 กองทุน ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ 23 กองทุน และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน 8 กองทุนที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีมูลค่าตลาดรวมกว่า 7.3 แสนล้านบาท คิดเป็น 4.1% ของมูลค่าตลาด และในช่วงที่ผ่านมา กองทุนกลุ่มนี้ให้เงินปันผลตอบแทนเฉลี่ย 5.5% ต่อปี สูงกว่าอัตราเงินปันผลจากบริษัทจดทะเบียน ซึ่งอยู่ที่ 3%
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวต่อว่า กองทุนนี้นอกจากจะลงทุนในประเทศไทยแล้ว ยังกระจายการลงทุนไปในประเทศสิงคโปร์ ซึ่งถือว่าเป็นตลาด REITs ที่มีขนาดอันดับใหญ่ต้นๆ ของเอเชีย สิงคโปร์มีกองทุนประเภทดังกล่าวนี้ถึง 42 กองทุน มูลค่าตลาดรวม 95,300 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ หรือคิดเป็น 10% ของมูลค่าตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ โดยที่ผ่านมา จ่ายเงินปันผลตอบแทนเฉลี่ย 6.4% ต่อปี
“เนื่องจากกองทุนในสิงคโปร์มีการกระจายการลงทุนในหลายประเทศทั่วโลก เช่น จีน ออสเตรเลีย สหรัฐ เวียดนาม จึงตอบโจทย์เรื่องกระจายการลงทุนได้อย่างดี ขณะเดียวกัน ทีมผู้จัดการกองทุนของเราก็มีประสบการณ์ในการลงทุนที่สิงคโปร์ ผ่านการลงทุนในกองทุน B-SENIOR, B-SENIOR-X และ B-INCOME อยู่แล้ว” นายพีรพงศ์ กล่าว
“กองทุนบัวหลวง เชื่อมั่นว่า การลงทุนอย่างต่อเนื่อง (Staying Invested) ด้วยกลยุทธ์ลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย สามารถช่วยรับมือกับความไม่แน่นอนในอนาคตได้ ทำให้ผู้ลงทุนมีโอกาสรับผลตอบแทนที่เหมาะสม หากนักลงทุนกำลังมองหาการลงทุนที่คาดว่าจะให้ผลตอบแทนและความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้น แต่สูงกว่าตราสารหนี้หรือเงินฝาก โดยมีโอกาสจะได้รับเงินปันผลระหว่างทาง กองทุน B-IR-FOF ก็เป็นทางเลือกที่ลงตัว แต่ก็ต้องยอมรับความเสี่ยงของการลงทุนในต่างประเทศได้ด้วย” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าว