HoonSmart.com>>”ดูโฮม” กำหนดราคาขายหุ้น 23 ก.ค. เตรียม 3 แนวทางพยุง จัดสรรไอพีโอขายสถาบัน 60% เสนอขายกรีนชู 56.16 ล้านหุ้น เจ้าของสัญญาไม่ขายออก 1 ปี “ภัทร” ที่ปรึกษา ยืนยัน DOHOME แตกต่างจากบริษัทขายวัสดุก่อสร้างที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ตอนนี้ เงินที่ระดมทุนได้ ส่วนใหญ่ประมาณ 2,000-3,000 ล้านบาทใช้ชำระหนี้ บริษัทปรับโมเดลธุรกิจ ลดขนาดสาขา ขายสินค้า House Brand มีมาร์จิ้นสูง
นายอนุวัฒน์ ร่วมสุข กรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายตลาดทุน บล.ภัทร หนึ่งในที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นบริษัท ดูโฮม (DOHOME) ซึ่งดำเนินธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่ง และให้บริการด้านวัสดุก่อสร้างและอุปกรณ์ตกแต่งบ้านแบบครบวงจร เปิดเผยว่า DOHOME จะเสนอขายหุ้น จำนวน 465,040,00 หุ้น คิดเป็น 25.1% ของหุ้นที่เรียกชำระแล้ว แบ่งเป็นหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 456.16 ล้านหุ้น หุ้นของผู้ถือหุ้นเดิม 8.88 ล้านหุ้น และอาจจัดสรรหุ้นส่วนเกิน (กรีนชู) ไม่เกิน 56.16 ล้านหุ้นจากผู้ถือหุ้นเดิม รวมทั้งสิ้น 521.2 ล้านหุ้น หรือไม่เกิน 28.1% กรณีมีการใช้สิทธิซื้อหุ้นส่วนเกินทั้งจำนวน เพื่อช่วยรักษาเสถียรภาพของราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ภายในระยะเวลา 30 วัน นับจากวันที่หุ้นของ DOHOME เข้าจดทะเบียนและซื้อขายในตลาดเป็นวันแรก ประมาณวันที่ 6 ส.ค.นี้ ในช่วงที่สภาวะตลาดอาจมีความผันผวน อาจมีโอกาสทำให้ราคาหุ้นต่ำกว่าราคาเสนอขายได้
นอกจากนี้ ทางผู้ถือหุันใหญ่ยืนยันว่าจะไม่ขายหุ้นออกภายใน 1 ปี (ไซเร้นท์พีเรียด) ภายหลังจากหุ้นเข้าตลาด มากกว่าเกณฑ์ที่กำหนด 6 เดือน และการเสนอขายหุ้นไอพีโอ จัดสรรให้นักลงทุนสถาบันถึง 60% รายย่อย 40% ซึ่งมีสถาบันหลายรายแสดงความสนใจซื้อหุ้นล็อตใหญ่ ทั้งนี้ราคาเสนอขายหุ้นจะกำหนดโดยใช้วิธีสำรวจความต้องการซื้อในวันที่ 23 ก.ค.นี้
“กรณีเจ้าของ DOHOME จะไม่ขายหุ้นออกมาภายใน 1 ปี ไม่ใช่เป็นเรื่องแปลก ที่ผ่านมาก็มีหุ้นหลายตัวทำมาก่อน บางตัวกำหนดถึง 2 ปี ซึ่งดูโฮม สถาบันให้ความสนใจมาก มีต่างประเทศติดต่อเข้ามา” นายอนุวัฒน์กล่าว
สำหรับหุ้น DOHOME นายอนุวัฒน์มีมุมมองว่า มีความแตกต่างจากผู้เล่นรายอื่นที่ทำธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่งวัสดุก่อสร้างและอุปกรณ์ตกแต่งบ้าน ทั้งการประกอบธุรกิจ กลุ่มลูกค้าและสินค้า อุตสาหกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลง บริษัทได้ปรับกลยุทธ์สาขาทีมีขนาดเล็กลง เพื่อเข้าถึงลูกค้ารายย่อย มีการควบคุมค่าใช้จ่ายต่อรายได้ และนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย ส่วนเงินที่ระดมทุนได้ ส่วนใหญ่จะนำไปชำระหนี้ ประมาณ 2,000-3,000 ล้านบาท
นายอดิศักดิ์ ตั้งมิตรประชา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดูโฮม กล่าวว่า บริษัทมุ่งเน้นการพัฒนาและนำเสนอสินค้าที่มีคุณภาพ ในราคาที่สามารถแข่งขันได้ ภายใต้แนวคิด “ครบ ถูก ดี…ที่ดูโฮม” มาเป็นระยะเวลากว่า 36 ปี ณ วันที่ 31 มีนาคม 2562 DOHOME มีสาขาที่เปิดให้บริการแล้วทั้งหมด 9 สาขา ได้แก่ อุบลราชธานี นครราชสีมา รังสิต ขอนแก่น อุดรธานี พระราม 2 บางบัวทอง เชียงใหม่ และบางนา โดยมีพื้นที่ขายและคลังสินค้าประมาณ 35,000 – 65,000 ตารางเมตรต่อสาขา รวมถึงศูนย์กระจายสินค้าอีก 1 แห่งที่จังหวัดปทุมธานี โดยแบ่งสินค้าที่จำหน่ายออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง กลุ่มวัสดุซ่อมแซม และกลุ่มวัสดุตกแต่ง รวมรายการสินค้ามากกว่า 135,000 รายการ
นางสลิลทิพ เรืองสุทธิภาพ รองกรรมการผู้จัดการสายงานบัญชี การเงิน และสนับสนุนองค์กร บริษัท ดูโฮม กล่าวว่า DOHOME วางแผนขยายสาขาทั่วทุกภูมิภาคและปรับโมเดลธุรกิจภายในปี 2564 เปิดสาขาขนาดใหญ่ที่มีขนาดพื้นที่เล็กลง รวม 7 สาขา และขยายสาขาขนาดเล็กภายใต้ชื่อ “Dohome To Go” ซึ่งมีพื้นที่เฉลี่ยต่อสาขาประมาณ 300 – 1,000 ตารางเมตร รวม 90 สาขา จะเปิดให้บริการในพื้นที่ศูนย์การค้า ซุปเปอร์มาร์เก็ต และไฮเปอร์มาร์เก็ต เพื่อให้สามารถเข้าถึงลูกค้ารายย่อยโดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่อาศัยอยู่ในเมืองที่ต้องการปรับปรุงซ่อมแซมตกแต่งบ้าน และสามารถตอบสนองไลฟ์สไตล์ผู้บริโภค
“สาขาใหญ่ตั้งเป้ายอดขาย 1,200 ล้านบาท/สาขา และมีเป้าหมายเพิ่มรายได้จากสินค้า House Brand ที่มีกำไรขั้นต้น (มาร์จิ้น) ถึง 31-35% เทียบกับสินค้าทั่วไปมีกำไรขั้นต้น 13-18% รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน จากการเปิดดำเนินการศูนย์กระจายสินค้า ในเดือน มิ.ย.2561 ขนาดคลังสินค้าจำนวน 41,580 ตารางเมตรในจังหวัดปทุมธานีซึ่งมีความสะดวกต่อการรับ เบิกจ่าย และจัดส่งสินค้าไปยังกลุ่มลูกค้าและสาขาของ DOHOME ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต และอยู่ระหว่างการติดตั้งระบบจัดเก็บสินค้าอัตโนมัติ (ASRS) ซึ่งคาดว่าจะช่วยให้ DOHOME มีการบริหารจัดการสินค้าคงคลังที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่วนโครงสร้างลูกค้า หลักๆ เป็นผู้รับเหมา ผู้ค้าช่วง ส่วนราชการ” นางสลิลทิพกล่าว
ด้านผลการดำเนินงาน DOHOME ปี 2561 มีรายได้รวม 18,535.17 ล้านบาท ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มีสัดส่วนรายได้จากกลุ่มวัสดุก่อสร้างประมาณ 46-49% สัดส่วนรายได้จากกลุ่มวัสดุซ่อมแซมประมาณ 35-38% และสัดส่วนรายได้จากกลุ่มวัสดุตกแต่งประมาณ 15-17% ส่วนไตรมาส 1/62 มีรายได้รวม 4,980.24 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 246.68 ล้านบาท สูงกว่าช่วงไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา ที่มีรายได้รวม 4,940.112 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 185.63 ล้านบาท ปัจจุบันมีสัดส่วนหนี้สินต่อทุนประมาณ 2.5 เท่า หลังจากเข้าตลาดแล้วสัดส่วนนี้จะลดลง