HoonSmart.com>> กองทรัสต์ เอไอเอ็ม อินดัสเทรียล โกรท เคาะขายหน่วยทรัสต์เพิ่มทุนครั้งที่ 1 ไม่เกิน 271.25 ล้านหน่วย ราคา 11.20 – 11.50 บาทต่อหน่วย ขายผู้ถือหน่วยเดิม 1 หน่วยต่อ 0.8750 หน่วยทรัสต์ใหม่ นำเงินลงทุนทรัพย์สิน 4 โครงการ มูลค่าไม่เกิน 4,300 ล้านบาท หนุนผลตอบแทนหลังเพิ่มทุนปีแรกประมาณ 0.8640 – 0.8648 บาทต่อหน่วย
นายอมร จุฬาลักษณานุกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอไอเอ็ม รีท แมนเนจเม้นท์ จำกัด ผู้จัดการกองทรัสต์อิสระ ในฐานะผู้ก่อตั้งทรัสต์และผู้จัดการกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ เอไอเอ็ม อินดัสเทรียล โกรท (AIMIRT) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้อนุญาตให้เสนอขายหน่วยทรัสต์ AIMRIT เพิ่มครั้งที่ 1 เพื่อเข้าลงทุนเพิ่มในกรรมสิทธิ์และสิทธิการเช่าทรัพย์สิน 4 โครงการ รวมมูลค่าไม่เกิน 4,300 ล้านบาท
น.ส.วีณา เลิศนิมิตร ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า กองทรัสต์ AIMIRT กำหนดช่วงราคาเสนอขายเบื้องต้นหน่วยทรัสต์เพิ่มทุนครั้งที่ 1 จำนวนไม่เกิน 271.25 ล้านหน่วย ที่ราคา 11.20 – 11.50 บาทต่อหน่วย โดยจะเสนอขายแก่ 1. เสนอขายหน่วยทรัสต์ต่อประชาชนทั่วไปเฉพาะกลุ่มซึ่งเป็นผู้ถือหน่วยเดิมที่มีรายชื่อปรากฏในสมุดทะเบียนผู้ถือหน่วยทรัสต์ (Preferential Offering) ในวันที่ 17 ก.ค.2562 ในสัดส่วนประมาณร้อยละ 50 ของจำนวนหน่วยทรัสต์ทั้งหมดที่ออกในการเพิ่มทุนครั้งที่ 1 หรือประมาณ 135,625,000 หน่วย โดยกำหนดอัตราส่วนใช้สิทธิ์จองซื้อที่ 1 หน่วยทรัสต์เดิม ต่อ 0.8750 หน่วยทรัสต์ใหม่ ซึ่งนักลงทุนที่ต้องการได้รับสิทธิจองซื้อหน่วยทรัสต์เพิ่มเติมจะต้องจองซื้อหน่วยทรัสต์ภายในวันที่ 12 ก.ค.2562 ก่อนขึ้นเครื่องหมาย XB ในวันที่ 15 ก.ค.นี้
ส่วน 2. เสนอขายหน่วยทรัสต์ต่อประชาชนทั่วไป รวมถึงผู้ลงทุนสถาบัน บุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย ที่เป็นบริษัทเจ้าของทรัพย์สิน และหรือ กลุ่มบุคคลเดียวกันของบริษัทเจ้าของทรัพย์สิน และหรือบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย ที่ไม่ใช่บริษัทเจ้าของทรัพย์สิน และ/หรือ กลุ่มบุคคลเดียวกันของบริษัทเจ้าของทรัพย์สิน ประมาณ 50% ของจำนวนหน่วยทรัสต์ทั้งหมดที่ออกในการเพิ่มทุนครั้งที่ 1 นี้ หรือประมาณ 135.62 ล้านหน่วย
ทั้งนี้ ภายหลังกองทรัสต์ AIMIRT เข้าลงทุนเพิ่มเติมครั้งที่ 1 คาดว่าอัตราผลตอบแทนในปีแรกจะอยู่ที่ประมาณ 0.8640 – 0.8648 บาทต่อหน่วย (ประมาณการอัตราการปันส่วนกำไรสำหรับงวด 12 เดือนตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.2562 – 30 มิ.ย.2563 กรณีที่กองทรัสต์เข้าลงทุนในทรัพย์สินที่กองทรัสต์จะเข้าลงทุนเพิ่มเติมครั้งที่หนึ่ง ทั้ง 4 โครงการ ไม่เกิน 4,200 ล้านบาท โดยการออกและเสนอขายหน่วยทรัสต์จำนวน 271.25 ล้านหน่วย ภายใต้สมมติฐานว่า กองทรัสต์ประมาณอัตราการจ่ายประโยชน์ผลตอบแทน 100% และออกหน่วยเพิ่มเติม 271.250 ล้านหน่วย ที่ราคา 11.20 – 11.50 บาทต่อหน่วย)
นายอมร กล่าวเพิ่มว่า สำหรับเงินที่ได้จากการเสนอขายหน่วย กองทรัสต์ AIMIRT จะนำเงินไปลงทุนในทรัพย์สิน 4 โครงการ ประกอบด้วย 1. ห้องเย็นโครงการเจดับเบิ้ลยูดี แปซิฟิค (ส่วนขยายเพิ่มเติม) บนถนนสุวินทวงศ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา ของกลุ่มบริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) จำนวน 1 ยูนิต พื้นที่รวมประมาณ 2,708 ตารางเมตร 2. คลังสินค้าโครงการ TIP 8 บนถนนเลียบคลองส่งน้ำสุวรรณภูมิ บริเวณบางนา-ตราด จังหวัดสมุทรปราการ ของบริษัท ทิพย์โฮลดิ้ง จำกัด จำนวน 4 ยูนิต พื้นที่รวมประมาณ 34,693 ตารางเมตร 3. ถังเก็บสารเคมีเหลว จำนวน 61 ถัง ปริมาตรความจุถังรวมประมาณ 85,380 กิโลลิตร และคลังสินค้า จำนวน 3 ยูนิต พื้นที่รวมประมาณ 16,726 ตารางเมตร ในโครงการ SCC บนถนนสุขสวัสดิ์ จังหวัดสมุทรปราการ ของบริษัท สยามเฆมี จำกัด (มหาชน) และ 4. คลังสินค้าโครงการสวนอุตสาหกรรมบางกะดี บริเวณจังหวัดปทุมธานี ของบริษัท สวนอุตสาหกรรมบางกะดี จำกัด จำนวน 1 ยูนิต พื้นที่รวมประมาณ 14,600 ตารางเมตร
ภายหลังการเข้าลงทุนในครั้งนี้จะทำให้กองทรัสต์ AIMIRT มีขนาดทรัพย์สินรวมประมาณ 6,400 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้นกว่า 3 เท่าตัว จากการลงทุนครั้งแรกที่มีมูลค่าทรัพย์สินรวมทั้งสิ้น 2,140 ล้านบาท ซึ่งการเข้าลงทุนเพิ่มเติมของกองทรัสต์ AIMIRT จะช่วยเสริมสภาพคล่องและเพิ่มโอกาสที่นักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนเพิ่มขึ้น รวมถึงมีการกระจายความเสี่ยงลงทุนในทรัพย์สินที่หลากหลายยิ่งขึ้น ทั้งห้องเย็น คลังสินค้า และถังเก็บสารเคมีเหลว และกลุ่มผู้เช่าซึ่งล้วนเป็นผู้นำในภาคอุตสาหกรรมทั้งในและต่างประเทศ
นายจรัสฤทธิ์ อรรถเวทยวรวุฒิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอไอเอ็ม รีท แมนเนจเม้นท์ จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ ได้คัดเลือกทรัพย์สินคุณภาพที่มีความโดดเด่นด้านทำเลที่ตั้ง และมีฐานลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการในทรัพย์สินใหม่ ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกที่มีความแข็งแกร่งด้านฐานะการเงิน เช่น ไทยออยล์ ปิโตรนาส เอสโซ่ เป็นต้น