HoonSmart.com>>บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส มองตลาดหุ้นเดือนพ.ค. จับตากำไรบจ. Q1/62 การเมืองในประเทศ แนะหาจังหวะสะสมหุ้นพื้นฐานดี ชู 4 ธีมลงทุน “หุ้นปันผลสูง, เก็งกำไรผลประกอบการ,ดีเฟนซี, วัฎจักรการลงทุน” หลังเดือนเม.ย.ส่ง 4 ธีมลงทุนทำผลงานได้เหนือตลาด
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) เปิดเผยกลยุทธ์การลงทุนและหุ้นแนะนําเดือนพ.ค.62 โดยมองในระยะสั้นปัจจัยภายนอกมีน้ำหนักเป็นบวกมากขึ้น ขณะที่ปัจจัยภายในค่อนไปทางลบ แต่ก็ Price-in เข้ามาในตลาดพอควรแล้ว ดังนั้นจึงมองว่ายังคงหาจังหวะซื้อสะสมหุ้นพื้นฐานดี เพื่อเก็งกําไรเป็นรอบหรือ/ลงทุนระยะยาวได้
ธีมและหุ้น Top picks สําหรับเดือนพ.ค.62 ดังนี้
# ธีมปันผลสูง หุ้นเด่น KKP, HREIT, WHART, JASIF
# ธีมเก็งกําไรผลประกอบการ หุ้นเด่น RJH, GFPT, TU, SVI
# ธีม Defensive หุ้นเด่น CPALL, BEM, RJH, GPSC
# ธีมวัฏจักรการลงทุน หุ้นเด่น AMATA, STEC, SEAFCO
สําหรับเดือนพ.ค.62 ปัจจัยหนุนการลงทุนตลาดหุ้นไทย ได้แก่
1) น้ำหนักตลาดหุ้นไทยใน MSCI EM Index เพิ่มขึ้นจาก 2.3% เป็น 2.8% หลังจากให้นํา NVDR เข้ามาคํานวณ และอาจจะมีการนําหุ้นเข้ามาคํานวณเพิ่มใน Quarterly Re-balancing รอบพ.ค.ซึ่งจะมีผลปลายพ.ค.นี้
2) คาดดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ําทั่วโลก แม้ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐและจีนจะดีขึ้น แต่เชื่อว่าสองประเทศยังคงนโยบายผ่อนคลายการเงินไว้ก่อน ซึ่งดอกเบี้ยต่ําเป็นบวกต่อตลาดหุ้น โดยเฉพาะหุ้นปันผลสูง, Property Fund & REIT
3) การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนมีความคืบหน้าดี คาดว่าจะบรรลุข้อตกลงและลงนามกันภายในมิ.ย.นี้ ซึ่งจะช่วยให้บรรยากาศการลงทุนและการค้าหว่างประเทศดีขึ้น
4) จีนถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม หลังภาคการผลิตและส่งออกเดือนมี.ค.ฟื้นตัว และการเจรจาการค้ากับสหรัฐไปได้ดี
5) รัฐบาลไทยออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ได้แก่
a) การเพิ่มเงินช่วยเหลือผู้ถือบัตรสวัสดิการรัฐ วงเงิน 1.32 หมื่นล้านบาท
b) ลดหย่อนภาษีส่งเสริมการอ่าน ไม่เกิน 1.5 หมื่นบาท/คน (1 ม.ค.-31 ธ.ค.62)
c) ลดหย่อนซื้อสินค้า OTOP ไม่เกิน 1.5 หมื่นบาท/คน (30 เม.ย.-30 มิ.ย.62)
d) ลดหย่อนท่องเที่ยว เมืองหลักไม่เกิน 1.5 หมื่นบาท/คน & เมืองรองไม่เกิน 2 หมื่นบาท/คน (30 เม.ย.-30 มิ.ย.62)
e) ลดหย่อนบ้านหลังแรก ราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท/หลัง ถือครอง 5+ ปีไม่เกิน 2 แสนบาท/คน (30 เม.ย.-31 ธ.ค.62)
f) ส่งเสริม e-Tax หักรายจ่ายลงทุนได้ 2 เท่า (30 เม.ย.-31 ธ.ค.62)
ส่วนปัจจัยเสี่ยง/ไม่แน่นอน ที่ต้องติดตาม ประกอบด้วย
1) การเมืองไทย รอข้อสรุปการนับคะแนนหลังเลือกตั้ง และสูตรคํานวณส.ส.บัญชีรายชื่อ การเมืองไทยหลังเลือกตั้งที่ยังไม่ชัดเจนกดดันความเชื่อมั่นผู้ลงทุน ส่วนโอกาสเป็นไปได้ของรัฐบาล มี 1.การตั้งรัฐบาลผสมที่มีเสียงเกินกึ่งหนึ่งไม่มาก หรือ 2. ให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ ตั้งรัฐบาลรักษาการ เพื่อเลือกตั้งใหม่อีกรอบ
2) กระทรวงการคลังปรับลดจีดีพีไทยปี 62 เป็น +3.8% (เดิม +4.0%) สะท้อนคาดการณ์ว่าการส่งออกโตน้อยลงเป็น +3.4% (เดิม +4.5%) ปรับลดการลงทุนรัฐเป็น +4.6% (เดิม +5.3%) ลงทุนเอกชนลดเป็น +4.1% (เดิม +4.5%) ส่วนการบริโภคภาคเอกชนลดเพียงเล็กน้อยเป็น +4.2% (เดิม +4.3%)
3) หนี้สินภาคครัวเรือนของไทยสูง และปัญหาภัยแล้ง เป็นความเสี่ยงต่อการเติบโตของการอุปโภคบริโภคภายในประเทศ
4) การตั้งสํารองผลตอบแทนพนักงานตามกฎหมายใหม่ ส่วนใหญ่จะตั้งใน 1Q-2Q62 คาดว่ารวมแล้วจะอยู่ที่ 2.5-3 หมื่นล้านบาท ประมาณ 2-3% ของกําไรตลาดหุ้นไทย
5) คาดว่ากําไรตลาดหุ้นไทยงวด 1Q62F จะหดตัว YoY เพราะฐานกําไร 1Q61 สูงถึง 2.9 แสนล้านบาท แต่จะเติบโตได้ QoQ เพราะกําไร 4Q61 ต่ําจากมีขาดทุนสต๊อกจํานวนมาก
ทั้งนี้ ภาพรวมเดือนเม.ย.62 SET Index ปรับขึ้น +7% YTD ต่ํากว่าเฉลี่ยภูมิภาคที่เพิ่ม +8% YTD และตลาดหุ้นโลก +11%YTD เนื่องจากนักลงทุนกังวลกับเศรษฐกิจโลกและไทยที่ชะลอตัวลง รวมถึงการเมืองไทยหลังเลือกตั้งยังไม่ชัดเจน แต่ปัจจัยดอกเบี้ยต่ําหนุนให้ตลาดบวกขึ้นได้
สําหรับกลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับขึ้นมากกว่าตลาด (SET) คือ สื่อ, ไฟแนนซ์, วัสดุก่อสร้าง,อาหาร, สื่อสาร, พลังงาน, REIT และขนส่ง ส่วนที่เหลือปรับขึ้น้อยกว่าตลาด ยกเว้นกลุ่มเหล็กและปิโตรเคมีติดลบใน YTD
เดือนเม.ย.62 หุ้นแนะนําของเราปรับขึ้น Outperform SET โดยดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับขึ้น +2.1% MoM ส่วนหุ้นที่เราแนะนําใน 4 ธีม คือ ธีมปันผลสูง, ธีมเก็งกําไรผลประกอบการ, ธีม MSCI และธีมลงทุน ปรับขึ้น +2.6% MoM ดีกว่าตลาดรวม โดยหุ้นที่ปรับขึ้นโดดเด่น ประกอบด้วย AIMIRT (+7.1%MoM), RJH (+7.6%), GFPT (+10.7%),BEM (+7.9%), AMATA (+6.2%) และ STEC (+4.8%)