HoonSmart.com>>บล.เอเซียพลัส แนะนำซื้อหุ้นที่ถูกชอร์ตเซลสูงติดอันดับต้นๆ PTTGC-PTTEP-KBANK รับเหมาฯ CK-STEC และอสังหาริมทรัพย์ LH-SPALI คาดหุ้นปันผลสูง จะเป็นแหล่งลงทุนใหม่ของเงินกองทุนตราสารหนี้หลังถูกเก็บภาษี 15% คาดรัฐบาลใหม่ช่วยดึงดูดเม็ดเงินต่างประเทศกลับมา หนุนดัชนีขึ้นสูงสุด 1,705 ได้ ส่วนผลสำรวจดัชนีความน่าเชื่อมั่นของนักลงทุนในอีก 3 เดือนลดลง 17.72% การเมืองเป็นทั้งปัจจัยบวกและลบ ต่างชาติพลิกกลับมาซื้อหนักกว่า 3,204 ล้านบาทหนุนดัชนีพุง 11 จุด แต่ขายตราสารหนี้ 2,000 ล้านบาท
ตลาดหุ้นไทยวันที่ 9 เม.ย.2562 ได้กลุ่มพลังงานและธนาคารหนุนให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับขึ้นแรง 11.56 จุด หรือ 0.70% ปิดที่ 1,657.74 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายปานกลาง 44,262.72 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อหนักมือถึง 3,204 ล้านบาท และขายตราสารหนี้ 2,000 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนรายย่อยถือโอกาสขายหุ้นทำกำไร 4,628 ล้านบาท ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติไม่ได้ซื้อหุ้นไทยสูงขนาดนี้มานานมาก และนับตั้งแต่ต้นปี ตลาดหุ้นไทยมีเงินไหลออกเพียงแห่งเดียวในเอเชีย มูลค่า 407 ล้านเหรียญสหรัฐ และขายในตลาดตราสารหนี้ 486 ล้านเหรียญสหรัฐ
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส กล่าวว่า เงินต่างชาติมีโอกาสไหลเข้ามาด้วยหลายปัจจัย โดยเฉพาะหากการเมืองและรัฐบาลใหม่ทำให้เกิดความเชื่อมั่น อาจจะเห็นดัชนีขึ้นไปถึงระดับ 1,705 จุด พี/อี 16 เท่าได้ ซึ่งเป็นเป้าหมายที่คาดว่าจะเห็นสูงสุดในสิ้นปีนี้ แต่ในระหว่างที่รอความชัดเจน แนะนำให้ซื้อหุ้นที่มีปันผลสูงระดับ 5% ล็อคผลตอบแทนไว้ก่อน หรือเลือกซื้อหุ้นที่มีการชอร์ตเซลหรือขายล่วงหน้าไปมาก โดยหุ้นที่ถูกชอร์ตมากที่สุด คือ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) ธนาคารกสิกรไทย(KBANK) และบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ซึ่ง PTTGC และ PTTEP ถูกชอร์ตจากแรงกดดันราคาน้ำมันดิบลดลง แต่ขณะนี้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นมามากแล้ว
นอกจากนี้หุ้นรับเหมาก่อสร้างก็น่าสนใจ เช่น บริษัทช.การช่าง(CK) และ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น (STEC) รวมถึงพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ อาทิ บริษัทแลนด์แอนด์เฮ้าส์ (LH)ให้ปันผลสูงถึง 7% หรือ บริษัท ศุภาลัย (SPALI)ที่มีแนวโน้มกำไรเติบโตดี
“นับตั้งแต่ต้นปีมียอดชอร์ตเซลสูงถึง 8 หมื่นล้านบาท เมื่อชอร์ตแล้วก็ต้องซื้อคืน บางตัวลงมามากจนน่าสนใจ เหลือพี/อี 11 เท่า และอัตราผลตอบแทนปันผลสูงถึง 6%”นายเทิดศักดิ์กล่าว
อย่างไรก็ตาม คาดว่า ผลดำเนินงานในไตรมาส 1/2562 ของกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี จะมีกำไรสุทธิลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิถึง 9 หมื่นล้านบาท เช่นเดียวกับกลุ่มธนาคารพาณิชย์จะมีกำไรสุทธิลดลงจากไตรมาส 1/2561
ส่วนกรณีที่จะเก็บภาษีในอัตรา 15% จากอัตราดอกเบี้ยของกองทุนตราสารหนี้ นายเทิดศักดิ์กล่าวว่า กองทุนรวมทั้งระบบมีมูลค่า 5 ล้านล้านบาท เป็นกองทุนตราสารหนี้ประมาณ 50% เมื่อเก็บภาษีทำให้อัตราผลตอบแทนลดลง คาดว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนจากกองทุนตราสารหนี้ ส่วนหนึ่งย้ายออกไปลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์ และลงทุนในหุ้นที่ให้อัตราผลตอบแทนปันผลสูงๆ รวมถึงกองทุนหุ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อราคาหุ้นที่จ่ายเงินปันผลสูง
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน ประจำเดือนเม.ย.2562 ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นในอีก 3 เดือนข้างหน้าลดลง 17.72% จาก 107.53 จากที่มีการสำรวจเมื่อเดือนมี.ค. ที่มีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 15 เดือน ครั้งนี้นักลงทุนทุกกลุ่มมีความเชื่อมั่นลดลง จากสถานการณ์การเมืองและเสถียรภาพรัฐบาลใหม่
อย่างไรก็ตามคาดว่าเป็นปัจจัยระยะสั้น หากมีรัฐบาลใหม่ โดยเฉพาะการมีรัฐมนตรีกระทรวงสำคัญ โดยเฉพาะกระทรวงเศรษฐกิจ ซึ่งในต่างประเทศเมื่อมีรัฐมนตรีคลังที่น่าเชื่อถือก็ทำให้หุ้นขึ้นได้ ส่วนตัวอยากเห็นครม.ที่มีคุณภาพและนโยบายเศรษฐกิจที่ตอบโจทย์ประเทศ เพื่อให้การลงทุนขนาดใหญ่เดินหน้าต่อไปได้ ทำให้การลงทุนของคนไทยและต่างประเทศเข้ามาลงทุนมากขึ้น รวมถึงความเชื่อมั่นทำให้คนมีรายได้ระดับกลางกลับมาจับจ่ายใช้สอย เพื่อให้เศรษฐกิจหมุนต่อไปได้ ระหว่างที่รอการส่งออกกลับคืนมา
สำหรับกลุ่มหุ้นลงทุนเห็นว่ากลุามพาณิชย์ น่าสนใจมากที่สุด หากแยกเป็นนักลงทุนรายบุคคลให้ความสนใจหมวดการท่องเที่ยวมากที่สุด รองลงมาอาหารและเครื่องดื่ม และหมวดที่สาม พลังงานและสาธารณูปโภค กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ เห็นว่าหมวดพาณิชย์น่าสนใจมากที่สุด ตามด้วยหมวดพลังงานและธนาคาร
ส่วนสถาบันในประเทศ ให้ความสนใจหมวดพลังงาน มากที่สุด รองลงมาคือ หมวดธนาคารและหมวดพาณิชย์ ทางด้านนักลงทุนต่างชาติเห็นว่าหมวดพาณิชย์น่าสนใจมากที่สุด ตามด้วยกองทุนอสังหาริมทรัพย์และหมวดปิโตรเคมี