ความเชื่อมั่น 3 เดือนข้างหน้าลดลง 17% กลุ่มพาณิชย์โดดเด่น

HoonSmart.com>>ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนประจำเดือนเม.ย.62 ลดลง 17% อยู่ที่ 107.53 ให้น้ำหนักเรื่องการเมือง “ไพบูลย์” คาดเป็นสถานการณ์ชั่วคราว หากประกาศผลการเลือกตั้งเป็นทางการออกมาแล้ว มีการฟอร์มทีมรัฐบาล เชื่อความเชื่อมั่นจะกลับมา

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน ประจำเดือนเม.ย.2562 ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นในอีก 3 เดือนข้างหน้าลดลง 17.72% มาอยู่ที่ 107.53 (สำรวจเดือนมี.ค.2562) จากเดือนก่อนเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 5 เดือน นักลงทุนทุกคนมีความเชื่อมั่นลดลง โดยเฉพาะนักลงทุนรายบุคคล ส่วนสถาบันในประเทศและบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ลดลงอยู่ในเกณฑ์ทรงตัว

ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนพลิกจากร้อนแรง กลับมาอยู่ในเกณฑ์ทรงตัวในเดือนแรก เพราะปัจจัยทางการเมืองและผลการเลือกตั้ง ที่มีผลฉุดความเชื่อมั่นมากที่สุด ตามด้วยผลการเจรจาการค้าและแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว

“ผมคิดว่าการเมืองเป็นปัญหาระยะสั้น หากมีผลคะแนนการเลือกตั้งออกมาเป็นทางการและฟอร์มทีมรัฐบาลก็น่าจะทำให้ความเชื่อมั่นกลับคืนมา อย่างไรก็ตามทั้งตลาดหุ้นไทยและตราสารหนี้ไทยในช่วง 3 เดือนมีเงินไหลออก ซึ่งถือว่าแพ้ในตลาดเกิดใหม่และในตลาดเอเชียหลายแห่ง ส่วนกลุ่มหุ้นที่นักลงทุนให้ความสนใจมากสุด คือหมวดพาณิชย์ ส่วนหมวดสื่อและสิ่งพิมพ์ไม่น่าสนใจมากที่สุด”นายไพบูลย์ กล่าว

ส่วนปัญหาเงินจะไหลเข้ามามากหรือน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับพัฒนาการทางการเมืองในการสร้างความมั่นใจ ในนาทีพุ่งเป้าไปถึงตัวรัฐมนตรีกระทรวงสำคัญ ซึ่งในต่างประเทศเมื่อมีรัฐมนตรีคลังที่น่าเชื่อถืเอก็ทำให้หุ้นขึ้นได้ ส่วนตัวอยากเห็นครม.ที่มีคุณภาพและนโยบายเศรษฐกิจที่ตอบโจทย์ประเทศได้ เพื่อให้การลงทุนขนาดใหญ่เดินหน้าต่อไปได้ ทำให้การลงทุนไทยของคนไทยและต่างประเทศเข้ามาลงทุนมากขึ้น รวมถึงความเชื่อมั่นทำให้คนมีรายได้ระดับกลางกลับมาจับจ่ายใช้สอย เพื่อให้เศรษฐกิจหมุนต่อไปได้ ระหว่างที่รอการส่งออกกลับคืนมา

สำหรับนักลงทุนรายบุคคลให้ความสนใจหมวดการท่องเที่ยวมากที่สุด รองลงมาอาหารและเครื่องดื่ม และหมวดที่สาม พลังงาน ส่วนสถาบันในประเทศ ให้ความสนใจหมวดพลังงานและสาธารณูปโภคมากที่สุด รองลงมาคือ หมวดธนาคารและหมวดพาณิชย์ ส่วนต่างชาติเห็นว่าหมวดพาณิชย์น่าสนใจมากที่สุด ตามด้วยกองทุนอสังหาริมทรัพย์และหมวดปิโตรเคมี

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส กล่าวว่า เงินต่างชาติมีโอกาสไหลเข้ามาหากการเมืองและรัฐบาลภาพออกมาทำให้เกิดความเชื่อมั่น โดยเชื่อว่าเป้าหมายที่จะเห็นดัชนี 1,7051 จุด พี/อี 16 เท่า

ส่วนเรื่องให้ NVDR ชอร์ตเซลได้ก็เชื่อว่าจะมีแรงกดดัน แต่เมื่อชอร์ตแล้วก็ต้องซื้อคืน ตัวที่ถูกชอร์ตมากที่สุด คือ PTTGC ซึ่งเมื่อราคาลงถึงจุดหนึ่งก็จะมีการหาโอกาสเข้ามาซื้อ แต่ต้องมองว่าราคาหุ้นมีโอกาสขึ้น