บล.แอพเพิลเวลธ์ คาดหุ้นไทยเดือนมี.ค.62 กรอบ 1,630 – 1,680 จุด บจ.จ่ายปันผลรวม 5.19 แสนล้าน ประเมินผลตอบแทนเงินปันผลเฉลี่ย 3.3% ด้านเลือกตั้งหนุนบริโภคฟื้น เงินทุนต่างชาติไหลเข้า แนะลงทุนกลุ่มค้าปลีก ท่องเที่ยว เน้นหุ้นใหญ่ปันผลดี TISCO , KKP , PSH , QH , PTTGC , ASEFA , WHAUP
นายอภิชัย เรามานะชัย รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ แอพเพิล เวลธ์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในเดือนมีนาคม 2562 ฝ่ายวิเคราะห์ประเมินดัชนีหุ้นไทย (SET) น่าจะมีกรอบการเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 1,630 – 1,680 จุด โดยมีปัจจัยสนับสนุนในเชิงบวกทั้งในและต่างประเทศ โดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)ได้ส่งสัญญาณการชะลอขึ้นดอกเบี้ยปีนี้ ซึ่งจาก Fed Fund Rate Futures มีโอกาสปรับขึ้นเพียง 1.7 % พร้อมทั้งเตรียมประกาศยุติการปรับลดงบดุลของเฟดปัจจุบันอยู่ที่ 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ถือเป็นปัจจัยบวกต่อสภาพคล่องในระบบและลดแรงกดดันต่อการขึ้นดอกเบี้ย
ขณะที่การเจรจาการค้าสหรัฐ – จีนนั้นประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศเลื่อนเส้นตายการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจีนออกไปจากกำหนดวันที่ 1 มี.ค.ที่ผ่านมา น่าจะสะท้อนสัญญาณบวกของการยุติสงครามการค้า โดยคาดจะมีการหารือระหว่างผู้นำสหรัฐ – จีน ในเดือน มี.ค. นี้ เพื่อสรุปข้อตกลงสุดท้าย หากสงครามการค้ายุติลงก็ส่งผลบวกต่อการค้าโลกรวมถึงภาคการผลิตที่ปัจจุบันเริ่มส่งสัญญาณถดถอย สำหรับประเด็น Brexit นั้น นายกฯ เมย์เตรียมโหวตข้อตกลง Brexit ในวันที่ 12 มี.ค. หากสภาฯ ไม่เห็นชอบข้อตกลงของนายกฯ เมย์ ก็จะต้องเลือกระหว่างการออกแบบไม่มีข้อตกลง หรือ ขอเลื่อนเส้นตายออกไปจากวันที่ 29 มี.ค. นี้ ซึ่งนักวิเคราะห์คาดการณ์น่าจะออกเลื่อนการตัดสินใจออกไปอีก 3 เดือน
สำหรับผลประกอบการ บจ. ไทย งวดไตรมาส 4/61 มีกำไรสุทธิรวม 1.62 แสน ล้านบาท ลดลง 38 % จากไตรมาสก่อน และลดลง -36 % จากงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากกำไรบริษัทใน กลุ่มพลังงาน , ปิโตรเคมี , สื่อสาร และอิเล็กทรอนิกส์ต่ำกว่าคาดการณ์ แต่ภาพรวมตลาดประมาณการณ์การจ่ายเงินปันผล 534 บริษัท ในงวดปี 61 มีมูลค่ารวม 5.19 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.70 % จากงวดปีก่อน และคิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) เฉลี่ยที่ 3.30 % ซึ่งจากสถิติย้อนหลัง 10 ปี ดัชนี SET ในช่วงเดือน มี.ค. – เม.ย. จะให้ ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 2.45 % และ 1.10 % ซึ่งคาดเป็นผลบวกฤดูกาลจ่ายเงินปันผล
“กลยุทธ์การลงทุนแนะนำให้ซื้อลงทุน BBL , KBANK , AMATA , WHA , CK , STEC ที่ได้ผลบวกการลงทุนภาครัฐและเอกชน ขณะที่กลุ่มค้าปลีก CPALL , ROBINS คาดการณ์บริโภคจะฟื้นตัวในช่วงหลังเลือกตั้ง ส่วนกลุ่มท่องเที่ยว AOT , AA , ERW จากมาตรการฟรีค่าธรรมเนียม VOA จนถึง เม.ย. และกลุ่มที่จ่ายเงินปันผลสูง เช่น TISCO , KKP , PSH , QH , PTTGC , ASEFA , WHAUP” นายอภิชัย กล่าว
นายอภิชัย กล่าวอีกว่า ในส่วน Fund Flow จากนักลงทุนต่างชาติที่ไหลเข้าสู่ตลาดแถบอาเซียน ( TIP ) ในช่วง 2 เดือนแรก มียอด ซื้อสุทธิในตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ 543 ล้านดอลลาร์ , ซื้อหุ้นอินโด ฯ 726 ล้านดอลลาร์ และซื้อหุ้นไทย 108 ล้านดอลลาร์ จะเห็นได้ชัดว่าน้ำหนักการลงทุนของต่างชาติในตลาดหุ้นไทยช่วง 2 เดือนแรกยังต่ำกว่า เมื่อเทียบตลาดหุ้นอื่นในกลุ่ม TIP สาเหตุน่าจะมาจากประเด็นการเมืองที่กำลังจะมีการเลือกตั้งในวันที่ 24 มี.ค. นี้ ซึ่งนักลงทุนต่างชาติอาจจะยังรอดูผลการเลือกตั้งและเสถียรภาพ รัฐบาลใหม่ ซึ่งจากสถิติผลตอบแทนดัชนี SET หลังจากมีรัฐบาลใหม่บริหารประเทศในช่วง 1 ปี แรก ( Honey Moon Period ) จะให้ผลตอบแทนราว 4 – 6 %