HoonSmart.com >> บลจ.บางกอก แคปปิตอล ตั้งเป้า AUM ปี 62 โต 30% พร้อมรุกทุกธุรกิจ ประเดิมออกกองทุนรวมลงทุนต่างประเทศ กระจายลงทุนสินทรัพย์ทั่วโลก ภายใต้กลยุทธ์แบบ “Global Asset Allocation ที่เป็นการลงทุนระยะยาว” จับจังหวะปรับพอร์ตตามสภาวะตลาด หวังเป็นตัวช่วยนักลงทุน
นางเมธ์วดี ประเสริฐสินธนา กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน บางกอกแคปปิตอล หรือ BCAP เปิดเผยว่า บริษัทฯ ตั้งเป้าสินทรัพย์รวมภายใต้การบริหาร (AUM) ในปี 2562 เติบโต 30% จากปีก่อน โดยมีเป้าหมายออกผลิตภัณฑ์ลักษณะที่เข้าถึงนักลงทุนทั่วไปได้มากขึ้น เป็นทางเลือกในช่วงตลาดหุ้นทั่วโลกยังมีความผันผวนสูง จึงมีแผนออกกองทุนรวมที่มีการบริหารการลงทุนทั้งในและต่างประเทศแบบองค์รวม ภายใต้กลยุทธ์ “Global Asset Allocation” โดย BCAP จะบริหารการลงทุนโดยตรง ซึ่งแตกต่างจากบลจ.อื่นที่จะลงทุนผ่านกองทุน Feeder Fund ในต่างประเทศ
“BCAP มีทีมที่มีประสบการณ์ทั้งไทยและต่างประเทศ เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์จากการบริหารจัดการกองทุนในต่างประเทศ ที่ผ่านมาเราวางระบบซึ่งเป็นสากล เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการจึงพร้อมในการออกกองทุนใหม่ๆ ตอนนี้เราเปิดโอกาสให้นักลงทุนทั่วไปเข้าถึงกองทุนรวมได้มากขึ้น ลงทุนได้ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อกระจายความเสี่ยง”นางเมธ์วดี กล่าว
สำหรับกองทุนดังกล่าวนำรูปแบบการลงทุนมาจากผลิตภัณฑ์ที่ให้บริการแก่ลูกค้ากองทุนส่วนบุคคล มีโมเดลการลงทุน 5 รูปแบบ เลือกตามความเสี่ยงของนักลงทุน ซึ่งปีที่ผ่านมาตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวนหนักและติดลบประมาณ 20% ขณะที่กองทุนส่วนบุคคลติดลบเพียง 5% เท่านั้น โดยจุดเด่นของการลงทุน คือ การกระจายการลงทุนทั่วโลก ปรับพอร์ตลงทุนทันสภาวะการณ์ เนื่องจาก BCAP บริหารจัดการกองทุนเอง โดยเลือกลงทุนตรงในกองทุน ETF ในต่างประเทศ ไม่ได้ผ่าน Feeder Fund กองทุนต่างประเทศ ทำให้อัตราค่าธรรมเนียมต่ำกว่ากองทุนรวมแบบเดียวกันของบลจ.อื่น
อย่างไรก็ตามบริษัทฯ คาดว่าจะเปิดตัวกองทุนดังกล่าวในไตรมาส 2 ปี 2562 และในครึ่งปีหลังมีแผนออกกองทุนลักษณะ Target Date Fund ที่รองรับเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ในการลงทุน ซึ่งนำรูปแบบมาจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่ให้บริการแก่ลูกค้า ซึ่งจะช่วยให้นักลงทุนทั่วไปที่ไม่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพสามารถลงทุนเพื่อการออมระยะยาวได้ หรือเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนเพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบันกองทุนสำรองเลี้ยงชีพภายใต้การบริหารของ BCAP มีการกระจายลงทุนต่างประเทศในสัดส่วนสูงถึง 50% ถือว่าสูงสุดในระบบ ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสหาผลตอบแทนจากการลงทุนหุ้นทั่วโลก สอดคล้องกับการลงทุนระยะยาว การกระจายความเสี่ยง ซึ่งให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าลงทุนในระยะสั้น
นางเมธ์วดี กล่าวว่า สำหรับแผนการเติบโตของ BCAP ในปี 2562 นี้ตั้งเป้าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารของกองทุนรวมเติบโต 100% จาก 2,800 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2561 มาอยู่ที่ 5 พันล้านบาท กองทุนส่วนบุคคล ตั้งเป้าเติบโต 20% จากปีก่อนอยู่ที่ 1.56 หมื่นล้านบาท และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ตั้งเป้าเติบโต 10% จากปีก่อน 1.40 หมื่นล้านบาท ขณะที่ผลงานปี 2561 ที่ผ่านมาเติบโตจากทุกธุรกิจส่งผลให้ AUM ขยายตัวประมาณ 21% มูลค่าสินทรัพย์อยู่ที่ 32,500 ล้านบาท ส่วนแผนการออกกองทุน ETF ตามที่ได้ประกาศไปก่อนหน้านั้น ปีที่ผ่านมาภาพรวมการลงทุนทั้งในและต่างประเทศไม่เอื้อจึงไม่ได้ออกตามแผน แต่บริษัทยังคงพิจารณาจังหวะและโอกาสที่เหมาะสม
อย่างไรก็ตามกองทุนเปิด BCAP Mid Small CG ETF และกองทุนเปิด BCAP-MSCITH LTF ซึ่งเป็นกองทุนรวมเป็นกองแรกของ BCAP ก็ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน
ด้านดร.ธนาวุฒิ พรโรจนางกูร หัวหน้าสายงานจัดการลงทุน บลจ.บางกอก แคปปิตอล เปิดเผยว่า มุมมองการลงทุในปี 2562 มองว่า เศรษฐกิจโลกจะยังคงขยายตัวได้ดีต่อเนื่องในปีนี้ แต่จะเป็นอัตราการขยายตัวที่ต่ำกว่าช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และการที่เศรษฐกิจโลกได้ผ่านจุดที่เติบโตในอัตราสูงสุดไปแล้วเมื่อต้นปี 2561 จึงทำให้ตลาดและนักลงทุนค่อนข้างกังวลว่า มีโอกาสสูงที่จะเข้าสู่สภาวะถดถอยได้ เนื่องจากวงจรเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวต่อเนื่องเกิน 10 ปีแล้ว
“มุมมองของ BCAP เชื่อว่า ความกังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอยจะไม่เกิดขึ้นในปีนี้ และเชื่อว่าตลาดหุ้นทั่วโลก ได้ปรับตัวสะท้อนปัจจัยลบดังกล่าวไปพอสมควรแล้ว บวกกับท่าทีล่าสุดของ คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ หรือ FOMC ที่ส่งสัญญาณว่าเฟด (FED) ไม่มีความจำเป็นต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยแล้ว ส่งผลให้แรงกดดันต่อกระแส Out flow ในตลาดเกิดใหม่ถูกผ่อนคลายลงไปมาก เช่นเดียวกับประเด็นสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ ที่ตลาดเริ่มคาดการณ์ว่าสถานการณ์น่าจะเริ่มคลี่คลายไปในทิศทางที่เป็นบวกมากขึ้น”ดร.ธนาวุฒิ กล่าว
อย่างไรก็ตามเชื่อว่าในระยะสั้น ดัชนีหุ้นทั่วโลกมีโอกาสสูงจะฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้ แต่ Upside ของตลาดหุ้นทั่วโลกในรอบนี้มีค่อนข้างจำกัด และมีความเป็นไปได้น้อยที่จะกลับขึ้นไปแตะที่ระดับสูงสุดเดิมได้ เพราะขณะนี้ยังมีความไม่นอนอยู่หลายปัจจัย ซึ่งรวมถึงประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน รวมถึงประเด็น Brexit ด้วย
“การลงทุนในปี 2562 จะเป็นปีที่ผู้ลงทุนควรต้องอาศัยมืออาชีพหรือผู้จัดการกองทุน เข้ามาบริหารพอร์ต โดยเฉพาะการจัดการสินทรัพย์ที่ต้องกระจายความเสี่ยงไปในทุกสินทรัพย์ทั่วโลก เพราะเราเห็นแล้วว่าในปีที่ผ่านมา บรรยากาศการลงทุนในประเทศ ถูกกดดันจากปัจจัยภายนอกมาโดยตลอด ดังนั้นการลงทุนในประเทศเพียงอย่างเดียว จึงไม่ใช่กลยุทธ์การลงทุนที่ดีนัก ซึ่งคำแนะนำก็คือ นอกจากจะต้องกระจายความเสี่ยงไปต่างประเทศแล้ว สิ่งที่ต้องทำควบคู่ไปด้วย คือการใช้กลยุทธ์ลงทุนแบบ active หาโอกาสทำกำไรบ้าง ในจังหวะที่ตลาดเริ่มขยับขึ้นมาแพงแล้ว” ดร.ธนาวุฒิ กล่าว