TSTH คาด Q4 พลิกมีกำไร ยันไม่ทิ้งธุรกิจในไทย

“ราจีฟ มังกัล” บิ๊กทาทา สตีล คาดไตรมาส 4 พลิกกลับมามีกำไร เร่งส่งออกเพิ่มขึ้น ชี้ T S Global Holdings ขายหุ้นเกลี้ยง กำเงินลุยลงทุนเหล็กอินเดีย ที่ตลาดเติบโตแรง ยืนยันไม่ทิ้งการลงทุนในไทยและอาเซียน โดยจะร่วมทำธุรกิจกับกลุ่ม HBIS ผู้ผลิตรายใหญ่จากจีน

นายราจีฟ มังกัล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย) หรือ TSTH คาดว่าผลประกอบการไตรมาส 4 (ม.ค.-มี.ค. 2562) และทั้งปี 2562 จะกลับมามีกำไร เนื่องจากมุ่งเน้นการส่งออกเพิ่มขึ้น โดยปีนี้สัดส่วนส่งออกจะอยู่ที่ 11-12% จาก 2-3 ปีก่อนอยู่ที่ 7-10% โดยตลาดส่งออกได้แก่ที่ลาว กัมพูชา อินโดนีเซีย และอินเดีย

ราจีฟ มังกัล

นอกจากนี้จะไม่มีรายการพิเศษ เหมือนกับไตรมาส 3 (ต.ค.-ธ.ค.2561) ที่เตาหลอมของบริษัทย่อยระเบิด ทำให้หยุดดำเนินธุรกิจไป 1 เดือน และทำให้มีรายจ่าย 125 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายการพิเศษเพียงครั้งเดียว

นายราจีฟ กล่าวอีกว่า ราคาเศษเหล็กในไตรมาส 3 มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 10-11 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่ไตรมาส 4 ลดลงมาอยู่ที่ 9.50-9.80 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้ต้นทุนดำเนินการลดลง ขณะที่ราคาเหล็กแปรรูปก็อยู่ในระดับทรงตัว รวมถึงสต็อกของลูกค้ามีอยู่ในระดับต่ำ จึงมีโอกาสที่จะซื้อสินค้าเพิ่มขึ้น และเมื่อมีการเลือกตั้งแล้ว จะทำให้ลูกค้ามีความเชื่อมั่นมากขึ้น

กรรมการผู้จัดการใหญ่ TSTH กล่าวว่า บริษัทได้มีการตั้งสำรอง 60 ล้านบาท เพื่อรองรับกฎหมายแรงงานที่มีการแก้ไข สำหรับพนักงานที่เกษียณอายุ แต่จะมีการรับรู้ในไตรมาสใด ขึ้นอยู่กลับกฏหมายจะประกาศใช้เมื่อใด

ส่วนกรณีที่ T S Global Holdings Pte Ltd (TSGH) ผู้ถือหุ้นใหญ่ ได้ขายหุ้น TSTH 67.9% และ ขายหุ้น NatSteel Holding Pte.Ltd 100% ให้กับบริษัทร่วมทุนใหม่ ที่มีกลุ่ม HBIS จากจีน ถือหุ้นใหญ่ 70% และ TSGH ถือหุ้น 30% ราจีฟ กล่าวว่า สาเหตุที่ขาย เพราะ TSGH ต้องการที่จะเน้นการลงทุนในอินเดียมากขึ้น เพราะมีความต้องการใช้เหล็กเพิ่มขึ้นมาก โดยปีนี้คาดว่าความต้องการเหล็กในอินเดียอยู่ที่ 100 ล้านตัน และประเมินว่าอีก 12-15 ปีความต้องการจะเพิ่มเป็น 300 ล้านตันต่อปี โดยมีการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง

“แนวคิดที่จะขายทาทา สตีลในไทยตั้งแต่ เมษายน หรือพฤษภาคมแล้ว เพราะทาทา สตีล อินเดีย มีความต้องการใช้เงินประมาณ 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อที่จะขยายธุรกิจในอินเดีย จึงได้มีการขายหุ้นที่เข้าไปลงทุน เพื่อนำเงินมาลงทุน”

อย่างไรก็ตาม นายราจีฟ กล่าวว่า TSGH ยังไม่ทิ้งการลงทุนในไทย และในเอเชียตะวันออกเฉียใต้ โดยได้เป็นพันธมิตรกับกลุ่ม HBIS ซึ่งเป็นผู้ประกอบการเหล็กรายใหญ่อันดับ 4 ของโลก และอันดับ 2 ในจีน มีกำลังการผลิต 46 ล้านตันต่อปี และเชื่อว่ากลุ่ม HBIS จะมีการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามา

กรรมการผู้จัดการใหญ่ TSTH มองว่า ประเทศไทยยังมีความน่าสนใจ และความต้องการใช้เหล็กยังมีอีกมาก มาจากโครงการ EEC ขณะที่กลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีความต้องการใช้เหล็กปีละ 80 ล้านตัน เติบโตประมาณ 5-6%

นายราจีฟ กล่าวว่า สาเหตุที่กลุ่ม HBIS ซื้อหุ้น TSTH ที่สูงกว่าราคาในกระดาน เพราะมองเห็นศักยภาพบริษัทในอนาคต และปัจจัยที่สำคัญ ต้องการลงทุนให้ครอบคลุมในภูมิภาคนี้ เพราะก่อนที่จะซื้อหุ้น TSTH และ NatSteel Holding ทางกลุ่ม HBIS ได้มีการจัดตั้งโรงงานเหล็กแห่งใหม่ที่ฟิลลิปปินส์มาก่อน

การเข้าซื้อหุ้น NatSteel Holding ซึ่งเป็นบริษัทที่อยู่ในสิงคโปร์ และมีบริษัทย่อย ที่ทำธุรกิจรีดเหล็กในเวียดนาม รวมถึงมีบริษัทย่อยในมาเลเซีย และในไทยอีกดวย ทำให้กลุ่ม HBIS มีฐานการผลิตกระจายอยู่ทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

“บริษัทร่วมทุนที่จะจัดตั้งจะมีคนของ HBIS เข้ามานั่งตำแหน่ง CEO และ CFO ส่วนตำแหน่งรองจะเป็นคนของทาทา สตีล อินเดีย ส่วนหุ้น TSTH ในตลาดหุ้นไทยจะออกจากตลาดหลักทรัพย์หรือไม่ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้บริหารบริษัทร่วมทุน คาดว่าภายใน 2-3 เดือนจะได้ข้อสรุป” นายราจีฟ กล่าว