ปี’69 คาดส่งออกอิเล็กทรอนิกส์ฯหด 3.9% รายได้ปี’68 พุ่ง 23.1%-8 บจ.กำไรวูบ

HoonSmart.com>>ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS คาด ปี’69 มูลค่าส่งออกอิเล็กทรอนิกส์หดตัว -3.9% จากภาษีนำเข้า Semiconductor – IC สหรัฐฯ ก่อนฟื้นตัว 2.2% ในปี’70 จากการลงทุน Data Center ทั่วโลก การเปลี่ยนคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่รองรับ Windows 12 คาดรายได้รวมปี’68 พุ่ง 23.1% ผลเร่งนำเข้าของสหรัฐฯ ด้าน 8 บจ.3Q68 กำไรสุทธิวูบ 24.9%

นายพงษ์ประภา นภาพฤกษ์ชาติ นักวิเคราะห์ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS วิเคราะห์ “แนวโน้มธุรกิจผลิตอิเล็กทรอนิกส์ และส่วนประกอบคอมพิวเตอร์” สรุปได้ว่า รายได้ของธุรกิจผลิตอิเล็กทรอนิกส์และส่วนประกอบคอมพิวเตอร์ในบทวิเคราะห์นี้ ประกอบด้วยยอดขายจากผู้ประกอบการ 2 กลุ่ม ดังนี้

1) ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ (65% ของรายได้ทั้งหมด) ได้แก่ ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ (HDD) เครื่องพิมพ์ (Printer) และส่วนประกอบคอมพิวเตอร์อื่น ๆ

2) ผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (35% ของรายได้ทั้งหมด) ได้แก่ แผงวงจรไฟฟ้า (IC) เซมิคอนดักเตอร์ และวงจรพิมพ์รายได้รวมของธุรกิจในปี 2568 คาดว่าจะเติบโต 23.1% YoY

แต่จะหดตัว -3.1% YoY ในปี 2569 ก่อนที่จะกลับมาเพิ่มขึ้น 2.8% YoY ในปี 2570 แบ่งเป็น

1) การส่งออก (80% ของรายได้รวม)โดยสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกหลักของไทย (36% ของยอดส่งออกรวม)

ในกรณี Base Case ที่สหรัฐฯ ยังคงยกเว้นภาษีนำเข้า Semiconductor, แผงวงจรไฟฟ้า, HDD และคอมพิวเตอร์ ถึงปี 2570 ขณะที่สินค้าบางประเภท เช่น วงจรพิมพ์ จะถูกจัดเก็บภาษีแบบ Reciprocal Tariff หรือ Transshipment Rate ส่งผลให้อัตราภาษีนำเข้าสินค้ากลุ่มนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 7.8% จาก 0% ในปี 2567

แม้ว่าในปี 2568 ผู้ประกอบการบางรายจะได้รับผลกระทบจากยอดคำสั่งซื้อชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในยานยนต์ที่คาดว่าจะลดลง แต่มูลค่าส่งออกจะขยายตัวสูงถึง 23.8% YoY เนื่องจากได้รับอานิสงส์จากการเร่งนำเข้าของสหรัฐฯ ก่อนมาตรการภาษีตอบโต้จะบังคับใช้ในสินค้าบางประเภท

สะท้อนจากมูลค่าส่งออกไปยังสหรัฐฯ ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 ที่ขยายตัวถึง 36.9% ก่อนจะค่อย ๆ ทยอยลดลงหลังบังคับใช้มาตรการภาษี

ทำให้ปี 2569 มูลค่าส่งออกจะหดตัวลง -3.9% YoY ก่อนจะกลับมาเพิ่มขึ้น 2.2% YoY ในปี 2570 โดยมีปัจจัยหนุนจากการขยายตัวของการลงทุน Data Center ทั่วโลก และการเปลี่ยนคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่เพื่อรองรับการใช้งาน Windows 12 หลังสิ้นสุดการให้บริการ Windows 11 เวอร์ชัน 24H2 ในปี 2570 ซึ่งส่งผลให้ความต้องการ HDD, คอมพิวเตอร์, IC และอุปกรณ์เครือข่ายเพิ่มขึ้น

2) ยอดขายในประเทศ (20% ของรายได้รวม) คาดว่าปี 2568–2570 จะเพิ่มขึ้น 20.2% YoY, 0.2% YoY และ 5.2% YoY ตามลำดับ โดยมีปัจจัยหนุนจากการลงทุนด้านไอทีของภาครัฐเพื่อรองรับการใช้ระบบ Cloud และ AI รวมทั้งการลงทุน Virtual Bank ของภาคเอกชนที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วง 2H2568–1H2569 ซึ่งส่งผลให้ความต้องการอุปกรณ์เครือข่ายและ HDD จากผู้ผลิตในประเทศมากขึ้น

อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการไทยอาจต้องเผชิญความเสี่ยงจากนโยบายการค้าต่างประเทศของสหรัฐฯ ที่เข้มข้นขึ้น และมีความไม่แน่นอนสูง โดยเฉพาะการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้ากลุ่ม Semiconductor และ IC เป็น 100% ซึ่งจะส่งผลให้อัตราภาษีนำเข้าของสินค้ากลุ่มนี้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และอาจกระทบยอดส่งออกของไทยเพิ่มเติมตั้งแต่ปี 2569 แบ่งเป็นผลกระทบทางตรงต่อการส่งออกไปยังสหรัฐฯ และผลกระทบทางอ้อมจากการส่งออกวัตถุดิบไปยังจีนที่ชะลอลง รวมถึงมีโอกาสถูกแย่งส่วนแบ่งตลาดในประเทศและตลาดอาเซียนจากการระบายสินค้าของจีน

อัตรากำไรของธุรกิจมีแนวโน้มลดลงในปี 2568 ก่อนจะกลับมาเพิ่มขึ้นในปี 2569–2570 โดยอัตรากำไรในปี 2568 ได้รับแรงกดดันจากเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น แต่คาดว่าจะดีขึ้นในปี 2569–2570 เนื่องจากธุรกิจจะได้รับยอดคำสั่งซื้อส่วนประกอบที่ใช้ใน Data Center และอุปกรณ์ไอทีที่ทำงานร่วมกับ AI ซึ่งมีอัตรากำไรสูง และยังได้รับอานิสงส์จากต้นทุนเหล็กที่ราคามีแนวโน้มลดลง

8 บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ที่ทำธุรกิจดังกล่าว 9 เดือนแรกปี 2568 มีกำไรสุทธิ 4,280 ล้านบาท ลดลง 24.9% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน

ปัจจุบันผู้ผลิตอุปกรณ์ไอทีชั้นนำของโลกมีแนวโน้มที่จะใช้วงจรพิมพ์แบบ High-Density Interconnect (HDI) มากขึ้น และใช้หลัก ESG ในการคัดเลือก Supplier ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยควรหันมาผลิตวงจรพิมพ์แบบ HDI รวมทั้งขอการรับรองจากมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับ ESG อาทิ Responsible Business Alliance (RBA) เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ผลิตอุปกรณ์ไอทีชั้นนำของโลก และได้รับการคัดเลือกเป็น Supplier ต่อไป

ยกตัวอย่าง บริษัท KCE ที่เริ่มผลิตวงจรพิมพ์แบบ High-Density Interconnect (HDI) ซึ่งเหมาะกับการใช้ในอุปกรณ์ไอทีที่ทำงานร่วมกับ AI มีเป้าหมายที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกใน Scope 1 และ 2 ราว 30% เมื่อเทียบกับปี 2565 ภายในปี 2573 และลดลง 100% เมื่อเทียบกับปี 2565 ภายในปี 2593 โดยการใช้พลังงานในกระบวนการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิตรวมทั้งการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนภายในบริษัท

ทั้งนี้ ในปี 2567 KCE สามารถลดการปล่อยก๊าซ เรือนกระจกใน Scope 1 และ 2 ราว 5.4% เมื่อเทียบกับปี  2565 โดยการลดลมรั่วของเครื่องจักรภายในอาคาร และ เปลี่ยนมาใช้เทคโนโลยี Laser Direct Imaging (LDI)  แทนที่เทคโนโลยี UV Exposure เพื่อลดการใช้ไฟฟ้า

รวมทั้งการเพิ่มการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์  มีเพื่อจะลดการใช้น้ำ 10% เมื่อเทียบกับปี 2565  ภายในปี 2573
ทั้งนี้ ในปี 2567 KCE สามารถลดการใช้น้ำ ราว 8.1% เมื่อเทียบกับปี 2565 โดยการนำเอาน้ำที่ใช้ล้าง  ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์มาผ่านระบบ Recycle water และ นำกลับไปใช้ในกระบวนการผลิต