HoonSmart.com>>ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทิสโก้ เผยเศรษฐกิจปีม้าไฟยังไม่พ้นปากเหว คาด GDP โตเพียง 1.6% หนี้สูง–การเมืองไม่แน่นอน-บาทหลุด 31 บาท ฉุดส่งออก–ท่องเที่ยวซบ ลุ้น FDI–ดอกเบี้ยต่ำ พยุงการขยายตัวตามเป้า แนะใช้ Medical care-Wellness สร้างรายได้ระยะสั้นช่วงงบ’70 ล่าช้า
นายเมธัส รัตนซ้อน หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจ ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) กล่าวว่า ปี 2569 เศรษฐกิจไทย (GDP) ยังคงเปราะบาง และประเมินว่าจะเป็น “ปีม้าไฟ” ที่ยังไม่พ้นจากปากเหว โดยคาดว่าทั้งปีจะเติบโตเพียง 1.6% ซึ่งเป็นระดับที่ค่อนข้างต่ำกว่าศักยภาพมาก
โดยมองครึ่งปีแรกยังคงอ่อนแรง ก่อนจะฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อยในครึ่งหลัง จากเงินลงทุนทางตรง (FDI) แรงกดดันสำคัญมาจากภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่จะมีผลเต็มปี ความไม่แน่นอนทางการเมือง ความขัดแย้งชายแดน ตลอดจนภาคการผลิตที่อ่อนแอและสูญเสียความสามารถในการแข่งขันจากการขาดการลงทุนและพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ ขณะที่การท่องเที่ยวยังไม่ฟื้นตัวเท่าระดับก่อนโควิด สวนทางกับคู่แข่งคนสำคัญอย่างญี่ปุ่น และเวียดนาม ทำให้เครื่องยนต์หลักทั้งสองอย่างการท่องเที่ยวและการส่งออกแผ่วลงจนไม่สามารถจะเป็นแรงส่งที่สำคัญได้เหมือนในอดีต
ขณะเดียวกัน แรงขับเคลื่อนจากภายในก็เผชิญข้อจำกัดจากภาระหนี้สินต่อจีดีพีที่สูง ทั้งหนี้ครัวเรือนที่แม้จะลดลงต่อเนื่องแต่ยังสูงเกือบ 90% ของจีดีพี และหนี้สาธารณะที่ใกล้ชนเพดาน 70% ของจีดีพีแล้ว โดยอยู่ที่ 65% รวมถึงการลงทุนยังอยู่ระดับต่ำราว 20% จากอดีตที่เคยสูงถึง 40% ทำให้การบริโภคภาคเอกชนและการใช้จ่ายภาครัฐเผชิญกับข้อจำกัด และมีแนวโน้มชะลอลงจากปีนี้
นอกจากนี้ หากไม่มีการปฏิรูปแผนการใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษี ก็จะทำให้อันดับเครดิตของประเทศมีความเสี่ยงสูงที่จะถูกปรับลดอันดับลงในปี 2570
สำหรับปัจจัยบวกนอกเหนือไปจากดอกเบี้ยนโยบายที่คาดว่าจะต่ำลงแล้ว คือการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) หากมาตรการ Fast Pass สามารถดึงเม็ดเงินลงทุนได้ตามเป้าราว 4.8 แสนล้านบาท คาดว่าส่งผลบวกต่อเสรษฐกิจรวมได้ราว 0.6 ppt. โดยคาดว่าจะเข้ามาช่วงครึ่งปีหลัง 2 แสนล้านบาท มีผลต่อ GDP ปี 2569 ประมาณ 0.2%
อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามความเสี่ยงจากประเด็นการเมืองอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะนโยบายและระยะเวลาในการตั้งรัฐบาลชุดใหม่ ตลอดจนกระบวนการจัดทำงบประมาณปี 2570 ที่มีแนวโน้มจะล่าช้าไปไม่น้อยกว่า 2-3 เดือน ซึ่งจะกระทบต่อ GDP 0.3%
นอกจากนี้ การยุบสภาก่อนกำหนดเวลาเดิมส่งผลให้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่คาดว่าจะทยอยออกมาช่วยฟื้นกำลังซื้อในช่วงไตรมาสแรกของปีหน้าอย่าง “คนละครึ่งพลัสเฟสสอง” หรือ “ช็อปดีมีคืน” เป็นอันต้องสะดุด ไปทำให้กำลังซื้อในไตรมาสแรก และภาพรวมเศรษฐกิจอาจซึมกว่าที่คาด
นอกจากนี้ สถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนกับกัมพูชา หากยืดเยื้ออาจทำให้มีความเสี่ยงที่การเลือกตั้งอาจล่าออกไป โดยประเด็นความไม่แน่นอนเหล่านี้อาจทำให้นักลงทุนต่างชาติชะลอการตัดสินใจลงทุนได้ ดังนั้นจึงต้องจับตาอย่างใกล้ชิด
ด้านนโยบายการเงิน หลัง กนง. มีมติเอกฉันท์ให้ลดดอกเบี้ยลงมาอยู่ที่ 1.25% ตามที่คาด และเน้นย้ำว่านโยบายต้องสอดประสานกันทั้งการคลัง และการเงิน ซึ่งภายใต้สถานการณ์ที่เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ต่ำกว่าศักยภาพ และมีความเสี่ยงเพิ่มเติมเข้ามา ตลอดจนอัตราเงินเฟ้อที่จะยังต่ำกว่าเป้าหมายต่อเนื่อง คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อาจพิจารณาลดดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% เหลือ 1.00% ในการประชุมวันที่ 25 ก.พ. 2569 เพื่อดูแลค่าเงินบาทและลดภาระหนี้ รวมถึงภาวะการเงินที่ตึงตัวเกินไป อีกทั้งเพื่อช่วยประคับประคองเศรษฐกิจในช่วงที่นโยบายการคลังเผชิญกับข้อจำกัด ขณะเดียวกันหากเศรษฐกิจเผชิญแรงกดดันด้านลบ (Negative Shocks) ที่รุนแรงเพิ่มเติม ก็ยังมีความเป็นไปได้ที่จะเห็นการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีกราว 1-2 ครั้งเป็น 0.50% ได้ ในเดือน ก.พ.2569
สำหรับค่าเงินบาทปี 2569 คาดว่าจะยังแข็งค่า และอาจเห็นบาทหลุด 31 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ไปอยู่แถว 30 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ก่อนการประชุมกนง. จะกระทบต่อการท่องเที่ยวและการส่งออกของไทย ที่เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนการเติบโตของ GDP โดยคาดว่าการส่งออกปีหน้าจะติดลบ 2%
ทั้งนี้ ด้วยงบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัด และ ต้องรักษาวินัยการคลังอย่างเคร่งครัด รัฐบาลควรจะต้องปักธงให้ชัดในการนำเงินที่มีอยู่ไปใช้ส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมที่ไทยมีความได้เปรียบและสามารถร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้เร็ว คือ กลุ่ม Medical care และกลุ่ม Wellness เน้นการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ ที่มีการเติบโตสูง แต่ต้องพัฒนาบุคลากรรองรับให้ทัน
ควบคู่กับการส่งเสริม กลุ่มอุตสากรรมการผลิต,เอไอ,ไฮเท็ค และ EV ที่เป็นธุรกิจแห่งอนาคต ที่จะส่งผลในระยะต่อไป แม้จะมีขนาดใหญ่และเติบโตสูง แต่กลุ่มนี้ต้องใช้เวลาพอสมควร และไม่ง่าย
รวมถึง รัฐบาลต้องดึงเศรษฐกิจนอกระบบ ที่มีมูลค่าเกือบครึ่งหนึ่งของเศรษฐกิจรวม เข้าสู่ระบบให้ได้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างรายได้ในระยะยาว
