HoonSmart.com>>คปภ.ปรับลดค่าความเสี่ยงหุ้น ลง 7% จาก 25% เหลือ 18% หนุนเงินลงทุนประกันทะลักตลาดทุนปี’69 กว่า 2 แสนล้าน คาดเบี้ยรวมแตะ 1 ล้านล้านบาท โต 3–3.2% สูงกว่า GDP 2 เท่า
นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กล่าวว่า ปี 2569 ทุกหน่วยงานมีความพยายามอย่างมากในการช่วยกันผลักดันการเติบโตเศรษฐกิจของประเทศ หรือ GDP อย่างเต็มที่
หลายสำนักวิจัยประมาณการณ์ GDP ปี 2569 จะโต 1.5% -1.6% ซึ่งสถิติในอดีตที่ผ่านมายอดขายประกันภัยและประกันชีวิตจะโต 2 เท่าของ GDP คือประมาณ 3-3.2% ตัวเลขระดับนี้ น่าจะทำได้ไม่ยาก
“ปี 2568 คาดว่าเบี้ยประกันสะสมทั้งระบบจะอยู่ที่ 969,117 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 3.15% แยกเป็นเบี้ยประกันชีวิต 675,957 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 3.51% เบี้ยประกันวินาศภัย 293,220 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 2.33% โดยยอดสะสมถึงไตรมาส 3 ปี 2568 มีเบี้ยรวมทั้งระบบ 698,854 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 3.65%”นายชูฉัตร กล่าว

นายชูฉัตร กล่าวว่า การเติบโตของเบี้ยประกันภัยที่ระดับ 3% ถึง 3.2% ในปี 2569 จะทำให้เบี้ยรับรวมของธุรกิจประกันภัยทั้งระบบแตะ 1 ล้านล้านบาท
นอกจากนี้ เพื่อให้ธุรกิจประกันช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจ คปภ.ได้ปรับเกณฑ์การลงทุนประกอบธุรกิจอื่น ของบริษัทประกันภัยให้สามารถลงทุนและประกอบธุรกิจอื่นได้ ภายใต้ศักยภาพ ความรู้ ความสามารถ และความพร้อมของแต่ละบริษัท โดยคปภ.จะกำกับดูแลตามหลักความเสี่ยง (Risk Proportionality)
ทั้งนี้ ทีมงานคปภ.ได้ไปศึกษาที่ฝรั่งเศส และในหลายประเทศ พบว่า ธุรกิจประกันสามารถลงทุนได้ไม่จำกัด แม้กระทั่งร้านขนมปัง แต่ต้องเป็นธุรกิจที่มีการกำกับดูแลด้านธรรมาภิบาล
ข้อมูล ณ 30 ก.ย.2568 ธุรกิจประกัน มีมูลค่าสินทรัพย์ลงทุนรวม 4.88 ล้านล้านบาท คิดเป็น 1 ใน 4 ของ GDP ที่มีมูลค่ารวม 18 ล้านล้านบาท ธุรกิจประกันจึงเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และสามารถใช้เป็นตัวช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้
ในปีหน้า บริษัทประกัน สามารถลงทุนใน Private Credit และ Private Fund ได้ มีการขยายเพดานการลงทุนเดิมเพิ่มขึ้น ในตราสารทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง (Risky Asset) และให้ลงทุนในธุรกิจอื่น เพื่อให้บริษัทประกันเข้าถึงช่องทางการลงทุนได้ไม่จำกัดประเภท มีการกระจายความเสี่ยงจากการลงทุน เพิ่มความสามารถในการสร้างผลตอบแทน เสริมความมั่นคงของเงินออมประชาชนที่อยู่ในรูปของกรมธรรม์ประกันภัยและก็เพิ่มกระแสเงินลงทุนใหม่ (Fund Flow) เข้าสู่ตลาดทุนไทย
“เราได้ทำการลดค่าความเสี่ยง (Risk Charge) เพื่อให้สอดคล้องกับมูลค่าความเสี่ยงที่แท้จริง โดยมีการปรับลดอัตราค่าความเสี่ยงจาก 25% เหลือ 18% ซึ่งเป็นการปรับจากสถิติผลตอบแทนรวมของหุ้นจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท) ย้อนหลัง 10 ปี การที่ค่าความเสี่ยงลดลง 7% หมายความว่า เดิมลงทุน 100 บาทต้องตั้งสำรอง 25 บาท เกณฑ์ใหม่จะเหลือ 18 บาท จะทำให้บริษัทประกันมีเงินลงทุนในตลาดทุนเพิ่มขึ้นถึง 1 เท่าตัวคือไม่ต่ำกว่า 2 แสนล้านบาท จากปัจจุบัน ณ 30 ก.ย.68 ที่มีมูลค่าลงทุนในตราสารทุน 2 แสนล้านบาท คิดเป็น 4% ของสินทรัพย์ลงทุน”นายชูฉัตร กล่าว
นายชูฉัตร กล่าวว่า จะทำให้ธุรกิจประกันมีบทบาทในการช่วยสร้างความเข้มแข็งให้ตลาดทุนและเศรษฐกิจของประเทศเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ควบคู่กับการเสริมสร้างความมั่นคงทางการเงินของภาคธุรกิจประกันภัย ให้เติบโตได้อย่างไม่จำกัด ซึ่งจะมีการหารือร่วมกับภาคธุรกิจในการประชุม OIC Meet CEO ในวันที่ 5 ม.ค. รวม 10 หัวข้อสำคัญคือการจัดทำแผนภาพทิศทางการดำเนินงานในปีหน้าและในอนาคต
สำหรับ การลงทุนในกิจการอื่นนั้น ได้ขยายเพดานเพิ่ม จากปัจจุบันบริษัทประกันไทยสามารถลงทุนในกิจการใดกิจการหนึ่งได้ไม่เกิน 10% ของทรัพย์สิน มีการเปิดให้ลงทุนในฉินชัวร์เทค ธุรกิจโรงพยาบาล เพิ่มเป็น 20% ซึ่งในต่างประเทศมีการเปิดเสรี ไม่ได้จำกัดเพดานไว้
“เตรียมประกาศใช้ในปีหน้า หลายบริษัทให้ความสนใจมาก เพราะหากดำเนินการตามแนวทางนี้ จะทำให้ธุรกิจเติบโตได้รวดเร็วเช่นเดียวกับประเทศต่าง ๆ เช่น สิงคโปร์ ญี่ปุ่น ฮ่องกง และอังกฤษ ซึ่งได้ดำเนินการเช่นนี้แล้วและทำให้บริษัทเติบโตจริง”นายชูฉัตร กล่าว
