HoonSmart.com>>ตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับตัวลง โดยดัชนีดาวโจนส์ ลบ 228.29 จุด, S&P500 ลบ 78.83 จุด และ Nasdaq ลบ 418.14 จุด ทยอยขายหุ้น AI หลังมีรายงานว่านักลงทุนหลักของ Oracle ถอนตัวออกจากโครงการศูนย์ข้อมูลแห่งหนึ่งของบริษัท ส่งหุ้น Oracle ร่วงแรง ด้านตลาดยุโรปปิดลบเล็กน้อย แต่ราคาน้ำมันขยับขึ้น
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average: DJIA) วันที่ 17 ธันวาคม 2568 รวมทั้งดัชนี S&P500 และ ดัชนี Nasdaq ร่วงลง เนื่องจากนักลงทุนยังคงทยอยขายหุ้นกลุ่มปัญญาประดิษฐ์(AI) หลังมีรายงานว่านักลงทุนหลักของ Oracle ถอนตัวออกจากโครงการศูนย์ข้อมูลแห่งหนึ่งของบริษัท ทำให้เกิดความกังวลเรื่องการลงทุนใน AI ขณะที่ประเมินข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดว่ามีผลอย่างไรต่อนโยบายอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 47,885.97 จุด ลดลง 228.29 จุด, -0.47%
ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,721.43 จุด ลดลง 78.83 จุด, -1.16%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 22,693.32 จุด ลดลง 418.14 จุด, -1.81%
ความกังวลเกี่ยวกับการลงทุน AI ส่งผลกระทบหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีอีกครั้งหลังจากรายงานของ Financial Times ระบุว่า Blue Owl Capital ซึ่งเป็นผู้ให้กู้เอกชน ล้มแผนที่จะให้เงินทุนสนับสนุนศูนย์ข้อมูลมูลค่า 10 พันล้านดอลลาร์ของ Oracle บริษัทโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ในรัฐมิชิแกน โดยแหล่งข่าววงในชี้ให้เห็นถึงความกังวลเกี่ยวกับหนี้สินและระดับการใช้จ่ายของ Oracle ต่อมา Oracle ได้โต้แย้งรายงานดังกล่าวและกล่าวว่าโครงการยังคงเดินหน้า
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นท่ามกลางการตรวจสอบการใช้เงินกู้และการดำเนินการนอกงบดุลที่เพิ่มมากขึ้นเพื่อเป็นเงินทุนสำหรับการใช้จ่ายด้านทุนของบริษัทเทคโนโลยีในโครงสร้างพื้นฐาน AI แม้จะมีคำถามอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับความต้องการเทคโนโลยีนี้ก็ตาม
หุ้น Oracle ซึ่งเคยร้อนแรงในวงการ AI ร่วงลง 5.4% หุ้นใหญ่อื่นก็ร่วงตาม โดย Nvidia ลดลงเกือบ 4% หุ้นBroadcom ลดลงกว่า 4% หุ้น Google ลดลงกว่า 3% และหุ้น Advanced Micro Devices ลดลงกว่า 5%
Oracle และ Broadcom รวมถึงบริษัทอื่นๆ ในกลุ่ม AI ต่างปรับตัวลงอย่างมากในเดือนธันวาคม ซึ่งเป็นเดือนที่นักลงทุนหันไปลงทุนในกลุ่มตลาดที่เน้นคุณค่า เช่น กลุ่มการเงิน นับตั้งแต่ต้นเดือน Oracle และ Broadcom ปรับตัวลดลงมากกว่า 11% และประมาณ 19% ตามลำดับ
ไบรอัน มัลเบอร์รี ผู้จัดการพอร์ตลูกค้าของ Zacks Investment Management กล่าวว่ามีการสลับกลุ่มลงทุนชัดเจนจากหุ้นเติบโตขนาดใหญ่(large-cap growth) ไปสู่หุ้นคุณค่าขนาดใหญ่ (large-cap value) และยังเห็นนักลลงทุนวางสถานะในท่าทีที่เน้นการป้องกันมากขึ้นสำหรับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในปีหน้า จากคำถามที่แท้จริงว่าใครจะเป็นผู้ทำรายได้จากการลงทุนจำนวนมหาศาลเหล่านี้ใน AI
สถานการณ์ที่ย่ำแย่ของภาคเทคโนโลยีทำให้ผลประกอบการรายไตรมาสของ Micron Technology (MU) ซึ่งประกาศหลังปิดตลาดในวันพุธ ได้รับความสนใจมากขึ้น เพราะจะช่วยให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นเกี่ยวกับความต้องการในตลาดเซมิคอนดักเตอร์ด้าน AI เนื่องจากบริษัทเป็นผู้จัดหาชิปให้กับระบบเซิร์ฟเวอร์ของ Nvidia
ขณะเดียวกัน ตลาดกำลังพยายามหาสัญญานที่ชัดเจนจากรายงานการจ้างงานเดือนพฤศจิกายนที่เต็มไปด้วยความผันผวน หลังจากขาดข้อมูลสำคัญหลายสัปดาห์ เพื่อประเมินทิศทางอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า ตลาดกำลังรอข้อมูลสำคัญ คือ อัตราเงินเฟ้อผู้บริโภคในเดือนพฤศจิกายนในวันพฤหัสบดี
เมื่อวันพุธที่ผ่านมา คริส วอลเลอร์ ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ให้สัญญานเกี่ยวกับทิศทางในอนาคต โดยระบุว่าธนาคารกลางยังมีช่องทางในการลดอัตราดอกเบี้ยได้อีก 0.50%-1.0%
สำหรับหุ้นอื่น ๆ หุ้น Warner Bros Discovery ลดลง 2.4% หลังจากคณะกรรมการบริหารของบริษัทได้ปฏิเสธข้อเสนอซื้อกิจการแบบไม่เป็นมิตร มูลค่า 1.084 แสนล้านดอลลาร์จาก Paramount Skydance และหันไปเลือกข้อเสนอของ Netflix แทน หุ้น Paramount ลดลง 5.4% หุ้น Netflix บวก 0.23%
ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบเล็กน้อย โดยการร่วงลงของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีได้รับการชดเชยจากการปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งของกลุ่มทรัพยากรพื้นฐาน ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับมูลค่าหุ้นเทคโนโลยีที่สูงมากซึ่งได้รับแรงหนุนจากปัญญาประดิษฐ์ (AI)
ตลาดหุ้นสหราชอาณาจักรปรับตัวขึ้นหลังจากข้อมูลอัตราเงินเฟ้อทำให้การคาดการณ์เกี่ยวกับการลดอัตราดอกเบี้ยแข็งแกร่งขึ้น
ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 579.79 จุด ลดลง 0.01 จุด, -0.002% หลังจากซื้อขายใกล้ระดับ
สูงสุดเป็นประวัติการณ์ในระหว่างวัน
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,774.32 จุด เพิ่มขึ้น 89.53 จุด, +0.92%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 8,086.05 จุด ลดลง 20.11 จุด. -0.25%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 23,960.59 จุด ลดลง 116.28 จุด, -0.48%
ข้อมูลแสดงให้เห็นว่าอัตราเงินเฟ้อราคาผู้บริโภคของอังกฤษลดลงอย่างมากเกินคาดในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งทำให้นักลงทุนคาดหวังมากเกี่ยวกับการลดอัตราดอกเบี้ยในวันพฤหัสบดี
กลุ่มธนาคารเป็นแรงหนุนสำคัญให้กับดัชนี STOXX 600 โดยเพิ่มขึ้น 1% และซื้อขายใกล้ระดับที่เคยเห็นครั้งล่าสุดในปี 2008
หุ้น HSBC ในลอนดอน เพิ่มขึ้น 2.7% หลังจากแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงต้น จากการปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนจากโบรกเกอร์
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ปรับตัวขึ้นมากที่สุด โดยเพิ่มขึ้น 1.1% หลังจากราคาสินแร่เงินแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และราคาทองคำแท่งก็ปรับตัวขึ้นเล็กน้อยเช่นกัน
หุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะบริษัทพลังงานที่ปรับตัวขึ้นตามราคาน้ำมัน หลังจากสหรัฐฯ สั่งปิดล้อมเรือบรรทุกน้ำมันที่ถูกคว่ำบาตรในเวเนซุเอลา Shell และ BP ต่างก็ปรับตัวขึ้น
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีลดลง 1.7% โดยเฉพาะบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ ASML Holdings, BESI และ ASMI
หุ้นกลุ่มก่อสร้างและวัสดุ และยานยนต์ก็ได้รับแรงกดดันเช่นกัน
ความสนใจของสัปดาห์นี้อยู่ที่การตัดสินใจด้านนโยบายการเงินหลายประเทศ รวมถึงของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ธนาคารกลางสวีเดน ธนาคารแห่งอังกฤษ และธนาคารกลางนอร์เวย์
ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบมกราคม เพิ่มขึ้น 67 เซนต์ หรือ 1.21% ปิดที่ 55.94 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนกุมภาพันธ์ เพิ่มขึ้น 76 เซนต์ หรือ 1.29% ปิดที่ 59.68 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
———————————————————————————————————————————————————–

