หุ้นทั่วโลกตื่นตระหนก ดาวโจนส์ ร่วง 653 จุด กระทบดัชนีนิกเกอิ ของญี่ปุ่นดิ่ง 5% ต่ำกว่า 20,000 จุดเป็นครั้งแรกในรอบ 20 เดือน หุ้นไทยนิวโลว์รอบปี 2561 รูดกว่า 2% ลุ้น 1,550 จุดรับไหว สถาบันทิ้งเฉียด 3,000 ล้านบาท ล็อคกำไร บล.เอเซียพลัส แนะหุ้นถูกเป็นโอกาสซื้อ พี/อี 13 เท่า เน้นบริษัทที่มีกระแสเงินสด ปันผลสูง เลี่ยงปิโตรเคมี โรงกลั่น คาดราคาน้ำมันดิบลงต่อ บล.ดีบีเอส แนะนำซื้อ ปตท. รอรับปันผลกว่า 6% ในปี 2562-2563
หุ้นในเดือนธ.ค.2561 อาการหนัก ตลาดสำคัญร่วงแรงกว่า 10 % โดยเฉพาะเมอร์รี่คริสต์มาส ซานตาคลอสไม่ได้แจกเงิน ตลาดหุ้นสหรัฐ และเอเชีย โดยเฉพาะตลาดหุ้นญี่ปุ่น ดัชนีนิกเกอิหลุด 20,000 จุดเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 2 ปี กดดันหุ้นไทยปิด 1,556.65 จุด ร่วง 34.64 จุด หรือ 2.18% ปิดต่ำที่สุดในรอบปีนี้ ฝีมือสถาบันทิ้งสุทธิ 2,911 ล้านบาท ต่างชาติขายแค่ 12 ล้านบาท รายย่อยซื้อเก็บกว่า 3,691 ล้านบาท
นางภรณี ทองเย็น รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซียพลัส กล่าวว่า สาเหตุที่ตลาดหุ้นไทยร่วงลงแรง ส่วนตัวไม่เชื่อว่าเกิดจากแรงขายหุ้น AI หรือระบบเทรด แต่เกิดจากกองทุน ที่ขายหุ้นออกมาก่อน สำรองเงินไว้รองรับการขายกองทุน LTF ในช่วงต้นปีหน้า ซึ่งจะครบกำหนดขายได้ประมาณ 7 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงกองทุน LTF ที่ถือมานานที่ยังคั่งค้างไม่ได้ขายอีก มากกว่า 1.4 แสนล้านบาท
นอกจากนี้ยังมีแรงขายของนักลงทุนที่ตื่นตระหนก เมื่อเห็นตลาดหุ้นต่างชาติทรุดหนัก ทั้งที่ไม่มีประเด็นใหญ่ ความขัดแย้งทางการค้าเริ่มผ่อนคลายลง แต่ยอมรับว่าราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงมาต่ำกว่า 50 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล เกินความคาดหมาย เกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อประเทศผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ในตะวันออกกลาง ในช่วงนี้ยังคงแนะนำให้หลีกเลี่ยงหุ้นโรงกลั่น ปิโตรเคมีที่จะมีการรับรู้ผลขาดทุนจากสต็อคในไตรมาส 4/2561
อย่างไรก็ตามตลาดที่ปรับตัวลงมามาก จนหุ้นมาถึงระดับที่น่าสนใจ ตลาดซื้อขาย พี/อีประมาณ 13 เท่า แนะนำให้นักลงทุนซื้อเก็บ เน้นบริษัทที่มีกระแสเงินสด และมีโอกาสให้อัตราผลตอบแทนปันผลสูง เช่น บริษัทแอดวานซ์อินโฟร์เซอร์วิส(ADVANC) และบริษัท ไดนาสตี้เซรามิค(DCC)ส่วนหุ้นธนาคารพาณิชย์ ก็น่าสนใจ คาดว่าสินเชื่อมีโอกาสเติบโต 6%
ผู้จัดการกองทุน กล่าวว่า แรงขายหุ้นของสถาบัน ส่วนหนึ่งเกิดจากมีบางกองทุนหุ้นที่ไม่ได้ปรับลดพอร์ตหุ้นไปก่อนหน้านี้ เพิ่งมาขายหุ้นออก หลังจากดัชนีหลุดแนวรับ 1,580 จุด ลงมาจึงตัดสินใจขายหุ้น เพื่อถือครองเงินสดเพิ่มขึ้น รวมทั้งคาดว่าลูกค้ารายใหญ่ที่ลงทุนผ่านกองทุนส่วนบุคคลเริ่มเห็นทิศทางตลาดหุ้นไม่ค่อยดี กำไรที่เคยได้มากก็ลดลงต่อเนื่อง จึงตัดสินใจขายหุ้นออกก่อนที่จะขาดทุน ทำให้ยอดขายสุทธิของนักลงทุนสถาบันออกมามาก
“ในภาวะปกติกองทุนหุ้นจะไม่ค่อยถือเงินสดมากนัก เพราะหากหุ้นขึ้นอาจมีผลตอบแทนต่ำกว่าดัชนีเปรียบเทียบ แต่ภาวะที่ตลาดหุ้นไม่แน่นอน ไม่รู้จะไปทิศทางไหน เริ่มบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุน จึงถือเงินสดเพิ่มขึ้น ที่ผ่านมาบางกองทุนอาจเชื่อว่าดัชนีน่าจะยืนเหนือ 1,580 จุด จึงถือหุ้นไว้เยอะ พอตลาดหุ้นสหรัฐร่วงแรงกดดันหุ้นทั่วโลก หุ้นไทยลงแรงหลุดแนวรับดังกล่าวจนมาเคลื่อนไหวแถว 1,550 จุด”ผู้จัดการกองทุน กล่าว
ส่วนกรณีที่มองว่ากองทุนขายหุ้นเพื่อเตรียมเงินสดรอรับการไถ่ถอนหน่วยลงทุนกองทุน LTF ในปีหน้านั้น มองว่าปัจจุบันกองทุนมีเงินสดพอรับแรงขายได้เหมือนปีที่ผ่านๆ มา อีกทั้งช่วงนี้เงินเข้าซื้อกองทุน LTF ทุกวัน และจากสถิติที่ผ่านมาแม้นักลงทุนจะสามารถขายกองทุน LTF ได้ตามเงื่อนไข แต่ก็จะเทขายออกมาบางส่วน ไม่ทิ้งทั้งหมด ปีที่น่าจะกังวลน่าจะเป็นปี 2563 หากทางการยกเลิกสิทธิภาษีกองทุน LTF และสิ้นสุดปี 2562
บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย)แนะนำให้ซื้อ หุ้นบริษัทปตท. ให้ราคาเป้าหมาย 60 บาท/หุ้น สูงกว่าราคาในปัจจุบันเกือบ 30 % บริษัทจ่ายปันผลได้ดี คาดการณ์อัตราผลตอบแทนปันผลปี 2562 และ 2563 สูงเป็น 6.3% ในแต่ละปี มีธุรกิจทั้งต้นน้ำและปลายน้ำ ช่วยกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจได้เป็นอย่างดี ท่ามกลางภาวะตลาดที่ผันผวนสูง และมีความไม่แน่นอนสูง
ส่วนแผนลงทุน 5 ปี ปตท.ปรับลดการใช้เงินลงทุน จากเดิม 221,000 ล้านบาท เป็น 167,000 ล้านบาท เพราะลงทุนไปมากแล้วในปี 2561 แต่ก็ยังมีแผนธุรกิจที่แข็งแกร่งรองรับอยู่
ทางด้านนายทาโร่ อาโสะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังญี่ปุ่น ออกมาแสดงความคิดเห็นต่อการร่วงลงอย่างหนักของตลาดหุ้นโตเกียว ดัชนีนิกเกอิต่ำกว่า 20,000 จุด เกิดจากนักลงทุนมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกมากจนเกินไป
“นักลงทุนไม่ควรต้องตื่นตระหนกมากเกินไป เพราะยังไม่มีอะไรที่ไม่ดีเกิดขึ้นกับบริษัททั้งหลายเลย”