HoonSmart.com>> “บล.บลูเบลล์” เปิดกลยุทธ์ปี 69 มุ่งยกระดับองค์กรสู่มาตรฐานชั้นนำ เปิดตัวทีมผู้บริหารชุดใหม่เสริมทัพภายใต้แนวคิด ONE BLUEBELL รองรับความท้าทายจากสภาวะเศรษฐกิจ รับมือการแข่งขัน ยกระดับให้บริการลูกค้า เล็งเปิดตัวธุรกิจ “กองทุนส่วนบุคคล” พร้อมโชว์ผลงานปี 68 เติบโตโดดเด่น คาดยอดขายหุ้นกู้พุ่งสร้างสถิติใหม่สูงสุดแตะ 1.4 หมื่นล้านบาท สิ้นปีนี้ ส่วนธุรกิจกองทุนรวม ปั๊มมูลค่า AUA โตทะลุ 50% เปิดมุมมองการลงทุนปีหน้า หุ้นโลกยังไปต่อ ส่วนหุ้นไทยให้เป้า 1,380 จุด

นายอมฤต ศุขะวณิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บลูเบลล์ เปิดเผยว่า ภาพรวมในปี 2568 ผลการดำเนินงานของบลูเบล์มีการเติบโตสูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท คาดว่ายอดขายหุ้นกู้จะพุ่งทำสถิติใหม่แตะระดับ 14,000 ล้านบาทในสิ้นปี สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ยังคงหนุนสินทรัพย์ตราสารหนี้อย่างแข็งแกร่ง พร้อมตอกย้ำสถานะความแข็งแกร่งในกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ผู้จัดจำหน่ายตราสารหนี้
ขณะเดียวกัน ธุรกิจกองทุนรวมยังขยายตัวต่อเนื่อง หนุนจากการฟื้นตัวของตลาดหุ้นต่างประเทศในปีนี้ ผสานกับคุณภาพการบริการและคำแนะนำที่ทันต่อภาวะตลาดของบลูเบลล์ ทำให้นักลงทุนเชื่อมั่นมากยิ่งขึ้น ดัน AUA เติบโตทะลุ 50% จากปีก่อน การเติบโตจากหุ้นกู้และกองทุนรวม ช่วยขับเคลื่อนให้ AUA ของบลูเบลล์เติบโตแข็งแรง สร้างรากฐานที่มั่นคงสำหรับการขยายธุรกิจในปี 2569
นายอมฤต กล่าวว่า สำหรับกลยุทธ์ปี 2569 มุ่งยกระดับองค์กรสู่มาตรฐานชั้นนำ พร้อมเปิดตัวทีมผู้บริหารชุดใหม่จากสายงานสำคัญของบริษัท เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในทุกมิติของธุรกิจ และสร้างรากฐานการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว โดยแต่งตั้งทีมผู้บริหารชุดใหม่ว่าเป็นก้าวสำคัญของบลูเบลล์ในการขับเคลื่อนองค์กรสู่ยุคใหม่ โดยมีผู้นำจากสายงานสำคัญเข้ามาร่วมพัฒนาโครงสร้างธุรกิจ ดังนี้
– นางจริยา อัศวณรงค์ ประธานสายงานปฏิบัติการ
– นายธีรธร พิศาล ประธานเจ้าหน้าที่การเงินและบริหารความเสี่ยงกลุ่มบริษัท (บริษัท บลูเบลล์ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด)
– นายธีระยุทธ ไทยธุระไพศาล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ
– นายณัฐดนัย เลิศแสวงกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานตลาดทุน
– นายรามรัตน์ จารุรัตน์จามร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า
– นายสาธิต กีรติสถิตพร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า
– นายวัชรพงษ์ ชำนาญกิจสุพัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายที่ปรึกษาการลงทุนอิสระ

นายอมฤต กล่าวว่า ทีมผู้บริหารชุดใหม่จะเข้ามาเสริมศักยภาพองค์กรภายใต้แนวคิด ONE BLUEBELL โดยเชื่อมโยงความเชี่ยวชาญจากทุกสายงานให้ทำงานร่วมกันอย่างไร้รอยต่อ ทั้งด้านกลยุทธ์ การบริหารลูกค้า และการพัฒนาธุรกิจ เพื่อรองรับปี 2569 ซึ่งเต็มไปด้วยความท้าทายจากสภาวะเศรษฐกิจและการแข่งขันที่เพิ่มมากขึ้น บลูเบลล์จึงมุ่งผสานการทำงานของทุกทีม เพื่อยกระดับประสบการณ์ลูกค้า ผ่านบริการที่ใกล้ชิดและครอบคลุมมากขึ้น พร้อมนำเสนอคำแนะนำการลงทุนแบบเชื่อมโยง (Cross-functional Collaboration และ Cross-sell) เพื่อเพิ่มโอกาสการเติบโตของธุรกิจ และยกระดับความพึงพอใจของนักลงทุนในทุกมิติ
บลูเบลล์ยังคงเดินหน้าตอกย้ำวิสัยทัศน์ “เชี่ยวชาญเป็นเลิศ เคียงข้างนักลงทุนชั้นนำอย่างจริงใจ” ด้วยการยกระดับมาตรฐานบริการที่ตั้งอยู่บนความถูกต้อง โปร่งใส และการดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิด โดยมุ่งให้บริการที่ดีที่สุดเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงในระยะยาวของนักลงทุน
นอกจากนี้แผนงานในปี 2569 จะขยายธุรกิจสู่ธุกิจกองทุนส่วนบุคคล (Private Fund) จากปัจจุบันให้บริการขายหุ้นกู้และกองทุนรวม โดยยังไม่มีแผนดำเนินธุรกิจหลักทรัพย์
“เป้าหมายของบลูเบลล์ไม่ใช่เพียงการเติบโตด้านธุรกิจเพียงอย่างเดียว แต่คือการเป็น ‘ตัวจริงด้านการลงทุน’ ที่นักลงทุนไว้วางใจได้ในทุกสภาวะตลาด เราจะยืนเคียงข้างลูกค้าอย่างจริงใจ ด้วยความเชี่ยวชาญที่พิสูจน์ได้ และทีมผู้บริหารชุดใหม่นี้จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในปี 2569 อย่างแข็งแกร่ง” นายอมฤต กล่าวทิ้งท้าย

ปี 69 หุ้นโลกได้แรงหนุนดอกเบี้ยขาลง-AI หนุน มองหุ้นไทยเป้า 1,380 จุด
นายศุภกฤต พิทักษ์พรเกษม , CISA ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ บล.บลูเบลล์ เปิดเผยว่า ปี 2568 ภาพรวมการลงทุนค่อนข้างดี ทำให้ภาพรวมธุรกิจกองทุนของบลูเบลล์เติบโตค่อนข้างดี จากภาวะการลงทุนเอื้อ รวมทั้งโอกาสการลงทุนมีมาก เนื่องจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) หลายแห่งเปิดกองทุนใหม่ ๆ ทำให้มีตัวเลือกให้การคัดสรรกองทุนให้กับลูกค้า อีกทั้งจุดเด่นของบลูเบลล์ ซึ่งไม่ได้เป็นบริษัทลูกของบลจ. จึงสามารถคัดเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้าได้ ส่งผลให้ปีนี้สามารถสร้างผลตอบแทนให้แก่ลูกค้าผ่านการจัดพอร์ตได้ค่อนข้างดี
“ทิศทางการลงทุนในปี 2569 มองภาพรวมตลาดยังดีต่อเนื่องจากปีนี้ ปัจจัยสนับสนุนจากนโยบายการเงินผ่อนคลายทั่วโลก ธนาคารกลางหลายแห่งมีแนวโน้มลดอัตราดอกเบี้ยต่อ นอกจากนี้ตลาดยังได้แรงหนุนจากกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) เติบโตในหลาย ๆ อุตสาหกรรม ไม่เพียงแต่กลุ่มเทคโนโลยี จึงส่งผลให้ตลาดหุ้นโลกในปีหน้ายังแกว่งในแนวโน้มขาขึ้น”นายศุภกฤต กล่าว
ส่วนปัจจัยเสี่ยง คือ มูลค่าของตลาดเริ่มแพง แม้ดัชนีจะเคลื่อนไหวในกรอบขาขึ้นอยู่ แต่ความผันผวนเริ่มมากขึ้น สะท้อนจากช่วงต้นเดือน พ.ย. แม้ยังไม่มีปัจจัยลบแต่เกิด Sell on fact กดดันดัชนีให้พักฐานลงมา เนื่องจาก Valuation ของตลาดโดยรวมแพง และไม่มีปัจจัยบวกสนับสนุน ทำให้มีการเทขายทำกำไรออกมาเป็นช่วง ๆ
นอกจากนี้คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้ง เป็นการลดแบบค่อยเป็นค่อยไป หรือไม่ลดติดต่อกัน เนื่องจากเฟดกังวลภาคแรงงาน ขณะเดียวกันเงินเฟ้อก็ยังสูงจากผลกระทบมาตรการภาษีการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้มองว่าช่วงที่เฟดมีท่าทีลังเลต่อทิศทางดอกเบี้ย ส่งผลให้ตลาดผันผวน
“หากตลาดพักฐานลงมา คาดว่าไม่ลงไปลึกมาก เนื่องจากกระแสการใช้ AI ที่กำลังเปลี่ยนผ่านจากเฟส Training สู่ Inference หรือการนำไปใช้งานจริงเพื่อสร้างรายได้ ทำให้การลงทุนของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ยังสูงขึ้นต่อเนื่องไปจนถึงปี 2569″นายศุภกฤต กล่าว
ส่วนธีมการลงทุนในปี 69 มอง 2 ธีมหลักยังคงน่าสนใจ ได้แก่ หุ้นสหรัฐฯ และหุ้นเทคโนโลยี ซึ่งยังมีการเติบโตโดดเด่น นกจากนี้มองหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ Data Center, พลังงานสะอาด นิวเคลียร์และหุ้นเกี่ยวข้องกับธุรกิจควอนตัม น่าสนใจ
“ธีม Data Center และพลังงานสะอาด เป็นพื้นฐานของการพัฒนา AI นอกจากนี้ทั้ง 2 กลุ่มค่อนข้างมีรายได้ที่มั่นคงกว่า AI และช่วงที่ราคาหุ้น AI ปรับลง ก็ไม่ได้ลงลึกเท่าหุ้น AI อีกธีมการลงทุนคือธุรกิจควอนตัม ช่วงหลัง ๆ มีการพูดถึงมากขึ้น โดยเทคโนโลยีควอนตัมเป็นเทคโนโลยีเพื่อทำให้ AI พัฒนาไปได้อีกหลายเท่าตัว”นายศุภกฤต กล่าว
พร้อมแนะนำการจัดพอร์ตลงทุน สำหรับพอร์ตที่รับความเสี่ยงได้สูง แนะนำ 30% หุ้นโลกเป็น core port, 20% หุ้นสหรัฐ, 30% เป็นสินทรัพย์ทางเลือก อาทิ ทองคำ บิทคอยน์ และประกันภัย 20% โดยตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) เน้นจีน (H-Share/Tech) และอินเดีย
สำหรับทิศทางตลาดหุ้นไทยปี 69 ประเมิน SET Index ที่ 1,380 จุด มีอัพไซด์ค่อนข้างน้อยจากระดับปัจจุบัน มอง P/E 15 เท่า EPS 92 บาท การเติบโตของตลาดหุ้นไทยไม่ได้มาก เนื่องจากขาดปัจจัยขับเคลื่อน คาดว่าช่วง H1/69 จะเติบโตดีกว่าช่วงครึ่งปีหลัง เนื่องจากเข้าสู่ช่วงเลือกตั้ง แนะนำกลยุทธ์ลงทุนเน้นหุ้นรายตัว กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการเลือกตั้งและการบริโภคในประเทศ อาทิ ธนาคาร ค้าปลีก และท่องเที่ยว รวมถึงกลุ่มรับอานิสงส์การย้ายฐานการผลิต
อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์เลือกตั้งไม่เป็นไปตามคาด เศรษฐกิจไม่ฟื้นตัว คาด Downside ดัชนี SET อยู่ที่ 1,200 จุด
