HoonSmart.com>>”เอสพีซีจี”(SPCG) โชว์กระแสเงินสดเกือบ 1 พันล้านบาท เพียงพอใช้ในปี 69 หลังราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี (Book Value) ไม่เป็นไปตามปัจจัยพื้นฐานของบริษัทฯ ใส่ใจถึงผู้ถือหุ้นยอมควักเงินจ่ายปันผลพิเศษ 1.50 บาท/หุ้น ขึ้น XD 28 พ.ย. พร้อมเชื่อมั่นโครงการ Quick Big Win ของภาครัฐ เล็งนำมาต่อยอดกับจุดแข็งที่มี พร้อมนำไปทำแผนธุรกิจปี 69 ด้านโซลาร์ฟาร์มในญี่ปุ่นที่ Ukujima (480 MW) อยู่ระหว่างการก่อสร้าง คาด COD ปี 70
น.ส.ออมสิน ศิริ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสพีซีจี (SPCG) เปิดเผยว่า จากการที่สภาพเศรษฐกิจและสภาพการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ส่งผลกระทบให้ปริมาณการซื้อขายหุ้นไม่ได้มากนัก และราคาหุ้นไม่ได้ไปกับปัจจัยพื้นฐานของบริษัทฯ จนทำให้เกิดผลกับหุ้น SPCG กับอื่นหลายบริษัทก็ตาม ถ้าดูที่ราคาหุ้นกับมูลค่าทางบัญชีจะพบว่า ราคาหุ้นปัจจุบันอยู่ใกล้ 10 บาท ต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี (Book Value) ที่ 17 บาท/หุ้น ตรงนี้คณะกรรมการบริษัทเห็นว่า ควรจะต้องมีแผนงานและมี Action ในบางประการ เพื่อจะได้ดูแลผลประโยชน์สูงสุดให้กับทางผู้ถือหุ้น กับการรักษาแผนงานในการสร้างการเจริญเติบโตไปพร้อมกัน จึงเป็นที่มาของการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้น
ผลประกอบการของ SPCG วันนี้ลดลงไป อันเนื่องมาจาก Adder หมดอายุ ไม่ได้แปลกใจ เพราะเห็นผลตรงนี้ตั้งแต่ตอนแรกแล้ว เพราะ Adder ที่เป็น Extra มีอายุ 10 ปี หลังจากนั้นพอครบพีเรียดแล้วก็บำรุงรักษาเครื่องไม้เครื่องมืออุปกรณ์ การมี maintenance อย่างไรให้สู่ภาวะปกติ เป็นหัวใจที่ทำให้วันนี้และต่อจากนี้ไปจนกว่าจะสิ้นอุปกรณ์ตัวใหญ่ ยังสามารถให้ผลตอบแทนจากบริษัทลูกขึ้นมาที่ SPCG ได้อย่างต่อเนื่อง ตรงนี้สะท้อนถึงแผนการลงทุนที่มีการออกแบบไว้เป็นอย่างดีตั้งแต่ตอนช่วงเริ่มต้นของการพัฒนาโครงการ การเลือกอุปกรณ์ที่มีคุณภาพสูง การออกแบบที่คำนึงถึงการบำรุงรักษาตลอดระยะเวลา 25-30 ปี ก็สะท้อนมาจนถึงหมด Adder แล้ว ก็ยังสร้างผลตอบแทนให้ได้
หลังจากปี 2557 ก็เริ่มมีการขยายธุรกิจ มองหาโอกาสใหม่ ๆ เริ่มออกไปลงทุนต่างประเทศ บริษัทฯที่ประกอบธุรกิจพลังงานหมุนเวียนในตลาดหลักทรัพย์เกือบทุกราย ต่างก็เริ่มมองไปที่ญี่ปุ่น เพราะญี่ปุ่นเป็นประเทศแรก ๆ ที่พัฒนาโครงการโรงไฟฟ้า และเน้นพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่ง SPCG ก็เข้าไปแสวงหาโครงการใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มผลตอบแทน ก็มีโครงการหลัก ๆ อยู่ 3 โครงการที่เข้าไปมีการลงทุน และบางส่วนเสร็จแล้ว COD แล้ว บางส่วนก็อยู่ระหว่างพัฒนา
“ยังโฟกัส Solar Power เพราะเป็นความเชี่ยวชาญของบริษัทฯ เป็นจังหวะที่เหมาะสมที่ภาครัฐฯออกโครงการ Quick Big Win แล้วให้ผู้ประกอบการลงทุนในระบบโซลาร์ ไม่ว่าจะเป็นโซลาร์ชุมชน หรือโซลาร์รูฟ สำหรับครัวเรือน หรือโครงการอื่น ๆ ตรงนี้เชื่อมั่นในนโยบายของภาครัฐฯที่มาได้อย่างถูกต้อง ถูกเวลา และถูกกับความเชื่ยวชาญของบริษัท ดังนั้นปี 2569 ก็จะนำสิ่งนี้เป็นโอกาสที่สำคัญ เอามาต่อยอดกับจุดแข็งที่มี ซึ่งก็จะทำเป็นแผนธุรกิจต่อไป”
นางออมสิน กล่าวว่า ปีนี้บริษัทฯมีการจ่ายเงินปันผลพิเศษขึ้นมาในอัตรา 1.50 บาท/หุ้น ซึ่งมากกว่าปกติทุกปีที่จ่าย 2 ครั้ง เนื่องจากมองราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี (Book Value) จึงอยากทำอะไรเพื่อเป็นประโยชน์ผุ้ถือหุ้นบ้าง และบริษัทฯก็มีเงินสะสมใช้ลงทุนเพียงพอแล้ว ถ้ากันบางส่วนออกมาแล้วบริหารจัดการเพื่อประโยชน์ของผู้ถือหุ้นยังคงได้อยู่ เรายังมีเงินสดอยู่อีกเกือบ 1 พันล้านบาท ซึ่งเพียงพอที่จะนำมาใช้ในปี 2569 รวมถีงเงินทุนหมุนเวียนใช้ในธุรกิจมีมากเพียงพอแน่นอน ซึ่งบริษัทจะขึ้นเครื่องหมาย XD ในวัที่ 28 พ.ย. และผู้ถือหุ้นจะได้รับเงินปันผลภายใน 12 ธ.ค.นี้
นายพิพัฒน์ วิริยธรานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายการเงิน SPCG กล่าวว่า ในไทยมี 36 โซลาร์ฟาร์ม ปัจจุบันผลิตไฟฟ้าถึงสิ้นต.ค.รวมทั้งสิ้น 229,054,499 kWh (กิโลวัตต์-ชั่วโมง) ซึ่งอยู่ที่ภาคอีสานเป็นส่วนใหญ่ ส่วนโซลาร์ฟาร์มในญี่ปุ่นมีที่ Ukujima (480 MW) อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ซึ่งบริษัทฯถือหุ้นอยู่ 17.92% ใช้เงินลงทุนพัฒนาโครงการทั้งหมด 178,759 ล้านเยน และเป็นส่วนของ SPCG ประมาณ 9,000 ล้านเยน จะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ ( COD) ในปี 2570 ส่วน Tottori และ Kagoshima ได้ COD ไปแล้ว
ส่วนธุรกิจโซลาร์รูฟ ยังคงพัฒนาโครงการ เป็นบริษัทลูกของ SPCG กลุ่มเป้าหมายที่วางไว้เป็นบ้านพักอาศัย อาคารพาณิชย์ และห้างสรรพสินค้า
———————————————————————————————————————————————————–

