SCGD โชว์พลังกลยุทธ์ กำไรออลไทม์ไฮ ต้นทุนผลิตต่ำชนะผู้เล่นระดับโลก

HoonSmart.com>>”เอสซีจี เดคคอร์” (SCGD) ผู้นำผลิตภัณฑ์ตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ในอาเซียน เพิ่มความแข็งแกร่งยิ่งขึ้นจาก 4 กลยุทธ์ ลดต้นทุน 4 ด้าน เกิดดอกออกผล กำไรและอัตรากำไรสุทธิไตรมาส 3/68 สูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา (ออลไทม์ไฮ) PRIME ที่เวียดนาม ฮับส่งออกลดต้นทุนการผลิตกระเบื้องเกรซ พอร์ซเลนลงต่ำกว่าผู้เล่นระดับโลก เสริมศักยภาพส่งออกไปยังประเทศต่างๆ เพิ่มความสามารถแข่งขันได้ดี แนวโน้มปี 69 ยังคงเติบโตต่อเนื่อง
 

สิทธิชัย สุขกิจประเสริฐ

 
นายสิทธิชัย สุขกิจประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการเงิน บริษัท เอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “SCGD ได้เริ่มดำเนินการตามแผนกลยุทธ์มาตั้งแต่กลางปี 2567 เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน พร้อมรับมือเศรษฐกิจโลกผันผวน ผลที่ได้รับในวันนี้สร้างความแข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากผลดำเนินงานในไตรมาส 3/2568 มีกำไรและอัตรากำไรสุทธิ (ออลไทม์ไฮ) EBITDA จำนวน 902 ล้านบาท เติบโต 12% QoQ จากไตรมาส 2 ที่ 803 ล้านบาทและเติบโต 18% YoY มี EBITDA Margin อยู่ที่ 16% กำไรสุทธิ 305 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 5.3% เพิ่มขึ้น 37% QoQ และ 61% YoY โตต่อเนื่อง”
 


 

ความสำเร็จของ SCGD มาจาก 4 กลยุทธ์ ได้แก่

1.การใช้บริษัท Prime Group (PRIME) ที่ประเทศเวียดนาม เป็นฐานการผลิตที่สำคัญ เป็นฐานส่งออกไป 24 ประเทศ เพราะตลาดมีศักยภาพ เน้นพัฒนาปรับปรุงสายการผลิตเป็นส่วนสำคัญ โดยส่งออกได้กว่า 2.2 ล้านตารางเมตร เพิ่มขึ้น 47% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

2. การเพิ่มกำลังการผลิตกระเบื้องเกรซ พอร์ซเลนเป็น 19 ล้านตารางเมตร ด้วยต้นทุนการผลิตต่ำลงสร้างศักยภาพในการแข่งขันด้านการส่งออกดียิ่งขึ้น สามารถส่งออกกระเบื้องเกรซ พอร์ซเลนได้ 3.6 ล้านตารางเมตร

3. สำหรับตลาดในประเทศไทยที่ชะลอตัว ใช้กลยุทธ์นำเสนอสินค้าใหม่ สินค้าคุณภาพ ราคาจับต้องได้ เพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภค เพื่อรักษาฐานลูกค้าเดิมและเพิ่มลูกค้าใหม่

4. เพิ่มสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (HVA) เสนอสินค้าคุณภาพราคาคุ้มค่า (Smart value product)

 

 

ขณะเดียวกัน มาตรการการลดต้นทุนที่สำคัญ ที่ได้ช่วยให้ SCGD มีความสามารถในการทำกำไรเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็น การลดต้นทุนพลังงาน ใช้พลังงานชีวมวลและพลังงานแสงอาทิตย์มากขึ้น การลดต้นทุนวัตถุดิบ ผ่านการเจรจาต่อรองกับซัพพลายเออร์ การบริหารจัดการเงินทุนหมุนเวียน เช่น จัดการปริมาณสินค้าคงคลัง และ ลดต้นทุนทางการเงิน ลดภาระดอกเบี้ยด้วยการนำกระแสเงินสดส่วนเหลือไปชำระหนี้ และปรับโครงสร้างทางการเงินทำให้ดอกเบี้ยจ่ายลดลง
 

 

“จากกลยุทธ์ดังกล่าว ส่งผลให้ PRIME สามารถผลิตกระเบื้องเกรซ พอร์ซเลน ด้วยต้นทุนที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดต่ำกว่าผู้เล่นระดับโลก สะท้อนถึงศักยภาพการแข่งขันที่ดีขึ้น และ PRIME ยังสามารถเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกไปยังตลาดฟิลิปปินส์ อินโดนีเซียและไทย เพิ่มความสามารถแข่งขันได้ดียิ่งขึ้น ส่วนกลยุทธ์ระยะยาวในไทยและอาเซียน เร่งเพิ่มตัวแทนจำหน่ายสุขภัณฑ์เป็น 181 ราย จากเดิม 162 ราย อีกทั้งขยายสินค้าใหม่และสินค้าเกี่ยวเนื่อง เพื่อสร้างความหลากหลายทางธุรกิจ”

“แนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัท คาดการณ์การเติบโตจากตลาดวัสดุก่อสร้างที่เวียดนามในไตรมาสที่ 4 ที่เป็นไฮซีซั่น ส่วนในไทยยังคงชะลอตัวและรอผลกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ส่วนฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียยังคงทรงตัว แต่แนวโน้มในปี 2569 น่าจะมีแนวโน้มดีขึ้น ขณะเดียวกัน บริษัทยังคงมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง พร้อมนโยบายการรับมือความผันผวน อาทิการบริหารความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน การบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจจากภัยธรรมชาติ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน” นายสิทธิชัย กล่าวทิ้งท้าย