ดาวโจนส์ปิดพุ่ง 559 จุด ทุบสถิติ Nasdaq ร่วง

HoonSmart.com>>ดัชนีดาวโจนส์ปิดพุ่ง 559 จุดทำนิวไฮ ท่ามกลางความคาดหวังชัตดาวน์ของรัฐบาลจะยุติลงเร็วๆ ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดร่วงลงแรงขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีนำโดย Nvidia บวกกับนักลงทุนสลับออกไปเล่นกลุ่มอื่น ด้าน “ราคาน้ำมันดิบ” WTI ปรับเพิ่มขึ้น 91 เซนต์ ปิดที่ 61.04 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล “ตลาดหุ้นยุโรป” ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average: DJIA) วันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 พุ่งขึ้นมาปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้งที่ 47,927.96 จุด เพิ่มขึ้น 559.33 จุด หรือ +1.18% ท่ามกลางความคาดหวังว่าภาวะชัตดาวน์ของรัฐบาลจะยุติลงได้ในเร็วๆ นี้ อย่างไรก็ตาม ดัชนี Nasdaq จากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ถูกฉุดรั้งโดย Nvidia บวกกับนักลงทุนสลับออกไปกลุ่มอื่น

ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,846.61 จุด เพิ่มขึ้น 14.18 จุด, +0.21%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 23,468.30 จุด ลดลง 58.87 จุด, -0.25%

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นจากการที่นักลงทุนต่างพากันเข้าซื้อหุ้นบริษัทชั้นนำหลายแห่ง รวมถึงบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านการดูแลสุขภาพอย่าง Merck , Amgen และ Johnson & Johnson

หุ้น Nvidia ผู้ผลิตชิป AI ยอดนิยมของนักลงทุนจำนวนมาก ร่วงลงราว 3% หลังจาก SoftBank ขายหุ้นทั้งหมดในบริษัทออกไปมากกว่า 5 พันล้านดอลลาร์เพื่อนำเงินที่ได้ไปลงทุนในการพัฒนา AI ของตนเอง การเคลื่อนไหวครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นกำลังตั้งคำถามว่าการใช้จ่ายด้าน AI อย่างมหาศาลนี้จะคุ้มค่าหรือไม่สำหรับหุ้นที่เกี่ยวข้องที่มูลค่าสูงลิ่ว

หุ้น CoreWeave ผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ AI ร่วงลงมากกว่า 16% หลังจากคาดการณ์แนวโน้มของบริษัททำให้นักลงทุนผิดหวัง ส่งผลกระทบต่อการซื้อขายในธีม AI

หุ้นดังอย่าง Micron Technology , Oracleและ Palantir Technologies ปรับตัวลงตาม CoreWeave และ Nvidia โดย Micron ร่วงลงเกือบ 5% ขณะที่ Oracle และ Palantir ลดลงประมาณ 2% และกว่า 1% ตามลำดับ

ตลาดยังมีมุมมองทางบวกว่าภาวะชัตดาวน์ของสหรัฐฯที่ยืดเยื้อมา 41 วัน อาจจะสิ้นสุดลงในเร็วๆ นี้ หลังเมื่อเย็นวันจันทร์ วุฒิสภาได้ผ่านร่างมาตรการจัดสรรงบประมาณ และได้ส่งร่างกฎหมายไปยังสภาผู้แทนราษฎรเพื่อลงมติขั้นสุดท้ายในวันพุธ จากนั้นจะส่งต่อไปยังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เพื่อลงนามบังคับใช้เป็นกฎหมาย

การเปิดทำการอีกครั้งจะทำให้มีการรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่ล่าช้าจากการหยุดชะงัก ซึ่งจะทำให้ตลาดประเมินแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ข้อมูลใหม่อาจต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะออกมา แม้ว่าการปิดทำการจะสิ้นสุดลงในสัปดาห์นี้ก็ตาม โดยคาดว่ารายงานการจ้างงานเดือนกันยายนน่าจะเป็นรายงานแรกๆ ที่ได้รับการเผยแพร่

เนื่องจากไม่มีรายงานอย่างเป็นทางการ นักลงทุนจึงพิจารณาตัวชี้วัดอื่นๆ อย่างรายงานจาก ADP โดยรายงานชุดใหม่ เผยให้เห็นว่าในช่วง 4 สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 25 ตุลาคม การจ้างงานในภาคเอกชนลดลงเฉลี่ยมากกว่า 11,000 ตำแหน่งต่อสัปดาห์ สวนทางกับตัวเลขที่เพิ่มขึ้นในเดือนตุลาคมที่บริษัทรายงานเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว บ่งชี้ถึงตลาดแรงงานที่อ่อนแอ

นอกจากนี้ Goldman Sachs ประเมินว่าการจ้างงานนอกภาคเกษตรลดลง 50,000 ตำแหน่งในเดือนตุลาคม

ในด้านการค้า ความกังวลเกี่ยวกับการสงบศึกทางภาษีระหว่างสหรัฐฯ-จีนได้กลับมาอีกครั้งในประเด็นสำคัญเกี่ยวกับการจัดหาแร่ธาตุหายาก วอลล์สตรีทเจอร์นัลรายงานว่า จีนวางแผนที่จะป้องกันไม่ให้ส่งออกแร่ธาตุไปยังกองทัพสหรัฐฯ แม้ว่าจีนจะเร่งการส่งออกไปยังผู้ซื้อรายอื่นในอเมริกาก็ตาม

ตลาดหุ้นยุโรปปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ นำโดยหุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ เนื่องจากนักลงทุนคาดการณ์ว่าการปิดทำการของรัฐบาลสหรัฐฯ จะสิ้นสุดลง ขณะที่ประเมินการคาดการณ์แนวโน้ทผลประกอบการที่หลากหลายจากบริษัทโทรคมนาคม ซึ่งรวมถึง Vodafone และ INWIT

ดัชนี STOXX 600 ของยุโรปปิดตลาดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ก่อนหน้านี้

ดัชนี FTSE 100 ของอังกฤษปิดตลาดสูงสุดเป็นประวัติการณ์เช่นกัน โดยได้รับแรงหนุนจากความหวังที่ธนาคารกลางอังกฤษจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม หลังจากข้อมูลชี้ว่าการเติบ
โตของการจ้างงานชะลอตัวลง ดัชนี FTSE MIB ของอิตาลี ซึ่งเน้นกลุ่มธนาคาร พุ่งแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2001

ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 580.13 จุด เพิ่มขึ้น 7.31 จุด, +1.28%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,899.60 จุด เพิ่มขึ้น 112.45 จุด, +1.15%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 8,156.23 จุด เพิ่มขึ้น 100.72 จุด, +1.25%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 24,088.06 จุด เพิ่มขึ้น 128.07 จุด, +0.53%

ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวขึ้นสูงสุดในรอบ 6 เดือนในวันจันทร์ โดยนักลงทุนต่างหวังว่าการแก้ไขปัญหาการปิดหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ จะนำไปสู่การเริ่มต้นการเผยแพร่ข้อมูลสำคัญอย่างเป็นทางการอีกครั้ง วุฒิสภาสหรัฐฯ ได้อนุมัติข้อตกลงที่จะฟื้นฟูงบประมาณของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ และยุติการปิดหน่วยงานที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์

หุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์เพิ่มขึ้น 2.9% หุ้น Novo Nordisk เพิ่มขึ้น 6.4% จากคำแนะนำเชิงบวกจาก JP Morgan ขณะเดียวกัน บริษัทยาได้ลดราคายาลดน้ำหนักยอดนิยมอย่าง Wegovy ลงถึง 33% ในอินเดีย ส่วนหุ้น Zealand Pharma เพิ่มขึ้น 8.7%

หุ้นกลุ่มสินค้าหรูเพิ่มขึ้น 2.4% หุ้นกลุ่มธนาคารเพิ่มขึ้น 1.1%

ในบรรดาหุ้นที่รายงานผลประกอบการ Vodafone เพิ่มขึ้น 8.3% หลังจากที่การเติบโตในเยอรมนีกลับมาช่วยยกระดับการคาดการณ์ผลประกอบการของบริษัท

แต่ INWIT ร่วงลง 11.8% หลังจากที่บริษัทเสาโทรคมนาคมแห่งนี้ปรับลดคาดการณ์รายได้สำหรับปี 2026

หุ้นของสวิตเซอร์แลนด์แตะระดับสูงสุดในรอบกว่าสามสัปดาห์ โดย Richemont และ Swatch Group เพิ่มขึ้น 1.9% และ 5.7% ตามลำดับ หลังงความกังวลคลี่คลายจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ กล่าวว่ากำลังร่วมมือกับสวิตเซอร์แลนด์ในการลดอัตราภาษีนำเข้า 39%

รายงานของสถาบันวิจัยเศรษฐกิจ ZEW ระบุว่า ความเชื่อมั่นของนักลงทุนเยอรมนีเดือนพฤศจิกายนลดลงเกินคาด

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนธันวาคม เพิ่มขึ้น 91 เซนต์ หรือ 1.51% ปิดที่ 61.04 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนมกราคม เพิ่มขึ้น 1.1 ดอลลาร์ หรือ 1.72% ปิดที่ 65.16 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
 
 
 
 
 
———————————————————————————————————————————————————–