AEONTS กำไรโตยาวข้ามปี’69 เร่งจัดโปรฯ-สินเชื่อใหม่

HoonSmart.com>>อิออน ธนสินทรัพย์ฯ เผยกำไรงวด 6 เดือนแรกเพิ่มขึ้น 16% อยู่ที่ 1,563 ล้านบาท ออกบัตรเครดิตใหม่ – สินเชื่อใหม่-ผุดโปรโมชั่น รับกำลังซื้อเพิ่มไตรมาส 4 ถึงต้นปีหน้าจากมาตรการกระตุ้นภาครัฐ ย้ำ NPL ที่ 5-6% พอเหมาะกับธุรกิจ มั่นใจดอกเบี้ยลดกดต้นทุนเงินกู้ต่ำกว่า 3% ภายในสิ้นปีนี้ หนุนรายได้ กำไรโตต่อเนื่อง

นายคาซึมาซะ โอชิมา กรรมการและผู้บริหารสูงสุดฝ่ายบัญชีและการเงิน บริษัทอิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) (AEONTS)และนางสุพรรณี อัศวสุวรรณ์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ ร่วมเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2568 และงวด 6 เดือนแรกของปี 2568 สิ้นสุดวันที่ 31 ส.ค.2568 ว่า มีรายได้รวมทั้งสิ้น 5,474 ล้านบาท ลดลง 4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า กำไรสุทธิอยู่ที่ 792 ล้านบาท ลดลง 4% เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 สามารถสร้างรายได้รวมได้ 10,867 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1,563 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567


รายได้หลักของบริษัทประกอบด้วยรายได้จากบัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล และเช่าซื้อ โดยรายได้จากบัตรเครดิตและสินเชื่อลดลง 11% และ 3% ตามลำดับ ขณะที่รายได้จากเช่าซื้อเพิ่มขึ้น 16% สะท้อนถึงการปรับพอร์ตผลิตภัณฑ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถในการทำกำไร

ในด้านคุณภาพสินทรัพย์ มีสัดส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Stage 3) อยู่ที่ 5.2% และสินเชื่อที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น (Stage 2) อยู่ที่ 2.8% โดยมีอัตราการตั้งสำรองครอบคลุมหนี้เสีย (Coverage Ratio) อยู่ที่ 167% และต้นทุนทางเครดิตสุทธิ (Net Credit Cost) อยู่ที่ 5.2% ซึ่งสะท้อนถึงการบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ ในไตรมาสนี้ ได้นำระบบการให้คะแนนเครดิตใหม่มาใช้ รวมถึงการปรับปรุงระบบติดตามหนี้ด้วยเทคโนโลยี AI Talkbot เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน นอกจากนี้ยังเข้าร่วมโครงการไกล่เกลี่ยหนี้ทั้งจากภาครัฐและภายในองค์กร เพื่อสนับสนุนลูกค้าอย่างต่อเนื่อง


ในด้านการเติบโต เน้นการขยายช่องทางการเข้าถึงลูกค้าผ่านการขายตรง การใช้ QR Code และการเพิ่มจุดบริการ EDC พร้อมทั้งเตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์สินเชื่อใหม่ในไตรมาสถัดไป โดยมีการกำหนดราคาตามความเสี่ยง เพื่อสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืน
ด้านการบริหารต้นทุน ได้ปรับกลยุทธ์สาขาให้มีขนาดเล็กลงและเน้นการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล รวมถึงการปรับโครงสร้างต้นทุนเงินกู้โดยเน้นการกู้ยืมในสกุลเงินบาท เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารต้นทุนทางการเงิน

สถานะทางการเงินของบริษัท ณ ครึ่งปีแรก 2568 มีสินทรัพย์รวม 91,000 ล้านบาท หนี้สินรวม 63,500 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้น 26,500 ล้านบาท โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ที่ 2.3 เท่า และต้นทุนทางการเงินเฉลี่ยอยู่ที่ 3.16%
ในส่วนของธุรกิจในเครือและการลงทุนในต่างประเทศ บริษัทมีรายได้รวมจากบริษัทย่อย 1,347 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิรวม 137 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 64.8% โดยเฉพาะในประเทศกัมพูชาที่มีการขยายพอร์ตสินเชื่อและสาขาอย่างต่อเนื่อง

นายคาซึมาซะ กล่าวว่า บริษัทฯย่อยมีลูกหนี้คงค้าง (Account Receivable) รวม 7,839 ล้านบาท ซึ่งกว่า 95% มาจากกัมพูชา โดยธุรกิจในกัมพูชาไม่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งทางการทหาร และอีกส่วนจากลาว ขณะที่ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ (AMC) มีพอร์ตลูกหนี้ซื้อมาอยู่ที่ 360 ล้านบาท

กำไรสุทธิจากบริษัทย่อยรวมอยู่ที่ 137 ล้านบาท คิดเป็น 6% ของกำไรรวมทั้งบริษัท สะท้อนการกระจายรายได้จากธุรกิจภูมิภาค แม้สัดส่วนยังไม่ใหญ่แต่ถือเป็นฐานการเติบโตที่สำคัญ

ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2568 บริษัทมี Book Value per Share อยู่ที่ 106.3 บาท ,Earnings per Share (EPS) 6.26 บาท,ROE 11.9%,ROA 3.3%,เงินปันผล (Dividend Payment) 2.55 บาทต่อหุ้น,Payout Ratio 40.7%

แม้รายได้รวมจากบัตรเครดิตลดลง แต่บริษัทสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายด้านการตลาด ทำให้ กำไรสุทธิยังคงเติบโต สะท้อนกลยุทธ์การดำเนินงานเชิงอนุรักษ์ ที่เน้นความระมัดระวังต่อความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจในภูมิภาค

พร้อมกับย้ำว่าแม้พอร์ตสินเชื่อโดยรวมยังหดตัวและรายได้ลดลงจากปีก่อน แต่บริษัทมั่นใจว่าการบริหารความเสี่ยงหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และการลดต้นทุนทางการเงิน จะช่วยรักษากำไรและสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้ถือหุ้นในระยะยาว

ปัจจุบัน อัตราหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ปรับขึ้นในไตรมาสนี้จากปัจจัยฤดูกาล แต่ยังอยู่ในระดับควบคุมได้ที่ 5–6% โดยบริษัทฯเลือกที่จะไม่ลด NPL ลงต่ำเกินไป เพราะอาจทำให้การขยายสินเชื่อหดตัวมากเกินไป ยอมรับความเสี่ยงบางส่วน เพื่อรักษาการเติบโตของพอร์ต

ปีนี้แนวโน้ม NPL ดีขึ้นจากปีก่อน จากการใช้มาตรการบริหารจัดการความเสี่ยงและตั้งสำรอง (ECL) เพื่อรองรับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและภัยธรรมชาติ การเข้าร่วมโครงการไกล่เกลี่ยหนี้ทั้งจากภาครัฐและภายในองค์กร ขณะที่แนวโน้มดอกเบี้ยตลาดอยู่ในทิศทางลดลง ซึ่งช่วยลดต้นทุนการกู้ยืมของลูกค้า

พร้อมกับ สนับสนุนการจัดตั้ง AMC โดยรัฐบาลจะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจระยะยาว เนื่องจากช่วยแยกหนี้เสียออกจากหนี้ดี แม้รายละเอียดสำหรับผู้ประกอบการนอนแบงก์ยังไม่ชัดเจน แต่บริษัทมองว่ามีโอกาสสร้างเสถียรภาพในระบบการเงิน

บัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล Outstanding ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน แต่บริษัทเตรียมออกบัตรเครดิตใหม่และโปรโมชั่นในครึ่งปีหลัง ด้วยการใช้กลยุทธ์ Selective Customer ใช้ข้อมูลเชิงลึกเพื่อกระตุ้นลูกค้าเดิมที่ชะลอการใช้จ่าย คาดว่าไตรมาส 4 ปีนี้ จะเห็นการฟื้นตัวจากโปรโมชั่นและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ เช่น โครงการคนละครึ่ง ที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตในไตรมาส 4 ของปีนี้และต้นปี 2569

คาดว่า การใช้จ่ายครึ่งปีหลังมีแนวโน้มเริ่มฟื้นตัว แม้รายได้จากบัตรเครดิตยังหดตัวเมื่อเทียบปีต่อปี แต่บริษัทเตรียมปรับกลยุทธ์โปรโมชั่นเพื่อเร่งการเติบโต ขณะเดียวกันธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ยังมีโอกาสขยาย แม้ขนาดตลาดเล็กเมื่อเทียบคู่แข่ง

สำหรับ รายได้ที่ลดลงเกิดจากการหดตัวของลูกหนี้ แต่บริษัทฯสามารถลดค่าใช้จ่ายได้มากกว่า ด้วยการนำ Digitalization และ AI มาใช้แทนพนักงานประจำ ช่วยลดต้นทุนบุคลากร และวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าเชิงลึก โดยไม่ได้กระทบจำนวนพนักงานที่ยังคงมีมากกว่า 4,000 คนตามสาขาที่มีกว่า 100 แห่ง การนำเทคโนโลยีมาใช้จะช่วยลดต้นทุนระยะยาว

ต้นทุนทางการเงิน (Funding Cost)ที่อัตราดอกเบี้ยในตลาดมีแนวโน้มดอกเบี้ย คาดว่าจะทำให้ต้นทุนเงินกู้เฉลี่ยอาจต่ำกว่า 3% ภายในสิ้นปี เป็นปัจจัยบวกต่อ Margin และ Bottom Line ของบริษัท

ด้านความคืบหน้าการซื้อหุ้นคืน หรือ Treasury Stock สัดส่วน 1% ของหุ้นทั้งหมด หรือราว 2.5 ล้านหุ้น คืบหน้าแล้วกว่า 95% คาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในเดือนนี้ และช่วยเพิ่ม ROE รวมถึงสร้างมูลค่าให้ผู้ถือหุ้นในระยะยาว

บริษัทฯคงอัตราการจ่ายปันผลที่ 30% ตามนโยบายเดิมของบอร์ดบริหาร ไม่จำเป็นต้องสะสมทุนเพิ่ม เนื่องจากพอร์ตสินเชื่อยังไม่ขยายตัวแรง

สำหรับโครงสร้างผู้ถือหุ้น ณ เดือนสิงหาคม 2568 ผู้ถือหุ้นใหญ่ ได้แก่ AEON Financial Service Ltd. ถือหุ้น 35.12% รองลงมาคือ ACS Capital Corporation และ AEON Holdings (Thailand) โดยมีสัดส่วนการถือหุ้น 19.30% และ 8.80% ตามลำดับ
นโยบายการจ่ายเงินปันผล กำหนดไว้ที่ไม่ต่ำกว่า 30% ของกำไรสุทธิรวม โดยในครึ่งปีแรกของปี 2568 บริษัทได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลที่ 2.55 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผล 40.7%