DELTA มั่นใจรายได้โต 2 หลักอีก 2-3 ปี เร่งขยายฐานไทยดันสู่ศูนย์ AI อาเซียน

HoonSmart.com>>เดลต้า อีเล็คโทรนิคส์ฯ มั่นใจรักษาการเติบโตรายได้ระดับ 2 หลักต่อเนื่องอีก 2–3 ปี คำสั่งซื้อแรงใน Q4/68-ต้นปี’69 เดินหน้าขยายโรงงาน-ศูนย์วิจัยในไทย รองรับดีมานด์ระดับภูมิภาค ดันไทยสู่ศูนย์กลางคาร์บอนต่ำ-เอไอดาต้าเซ็นเตอร์แห่งอาเซียน

นายวิคเตอร์ เจิ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทษัท เดลต้า อีเล็คโทรนิคส์ (ประเทศไทย) (DELTA ) กล่าวว่า แนวโน้มคำสั่งซื้อที่แข็งแกร่งต่อเนื่อง โดยเฉพาะในไตรมาส 4 และปี 2569 จึงมั่นใจมากว่าจะสามารถรักษาการเติบโตของรายได้เป็นตัวเลข 2 หลักได้อีก 2–3 ปีข้างหน้า เป็นการเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 3 ปี 2568 ที่มีรายได้ 1,652 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ เติบโต 36% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่กำไรจากการดำเนินงานปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงหนุนจากการเร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI และศูนย์ข้อมูลทั่วโลก

ไทยยังคงเป็นศูนย์กลางการลงทุนที่สำคัญของบริษัทโดยล่าสุดได้เปิดโรงงานใหม่ 2 แห่งในนิคมอุตสาหกรรมเวลและเตรียมเปิดอีก 2 แห่งที่บางปูภายในสิ้นปีนี้เพื่อรองรับความต้องการจากลูกค้าและตลาดในอนาคต

รวมถึงศูนย์วิจัยแห่งที่ 2 และอาคารสำนักงานใหญ่แห่งใหม่โดยศูนย์วิจัยดังกล่าวจะเน้นการพัฒนาสินค้าและ solution สำหรับตลาดไทรวมถึงการผลิตเพื่อส่งออกไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก

บริษัทฯ เดินหน้าขยายธุรกิจทั่วไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าแนวโน้มรายได้ในอีก 3 ปีข้างหน้าจะเติบโตอย่างมั่นคงตามกระแสการเปลี่ยนแปลงระดับโลก ทั้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ ดิจิทัล และพลังงานสะอาด

บริษัทฯไม่สามารถระบุอัตราการเติบโตแบบเจาะจงได้ แต่ยืนยันว่าแนวโน้มรายได้และการดำเนินงานจะยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลัก 3 ด้าน ได้แก่

1 การเปลี่ยนแปลงด้านภูมิรัฐศาสตร์ จากการผู้ผลิตหลายรายย้ายฐานการผลิตจากจีนมายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งส่งผลดีต่อการขยายตัวของ Delta Thailand

2.การเร่งตัวของเทคโนโลยีดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นคลาวด์, AI หรือ Machine Learning ล้วนต้องการพลังงานในการประมวลผล ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัท

3.การเปลี่ยนผ่านสู่โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานสะอาด แม้ยังไม่เกิดขึ้นเต็มรูปแบบ แต่บริษัทได้ลงทุนทรัพยากรจำนวนมากเพื่อเตรียมความพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

“เราเน้นการเติบโตแบบควบคุมและยั่งยืน โดยตั้งเป้าให้เติบโตแบบตัวเลขสองหลักทุกปี เพื่อหลีกเลี่ยงความผันผวนที่อาจกระทบต่อการดำเนินงาน”นายวิคเตอร์ กล่าว

นายวิคเตอร์ กล่าวว่า เทคโนโลยี AI ส่วนใหญ่จะยังพัฒนาในสหรัฐฯ และจีน โดยกว่า 50% ของอุปกรณ์ที่ Delta ผลิตเพื่อรองรับการสร้างศูนย์ข้อมูล AI ถูกส่งไปยังอเมริกาเหนือ

ขณะที่ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เริ่มเร่งเครื่องอย่างเห็นได้ชัด เริ่มจากการสร้างศูนย์ข้อมูลในมาเลเซีย สิงคโปร์ ออสเตรเลีย และไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งต่างจากรอบก่อนที่คลาวด์ยังพัฒนาแบบค่อยเป็นค่อยไป

สำหรับไทย เห็นการเร่งตัวการลงทุนใน AI Data Center ตั้งแต่ปลายปี 2567 คาดว่าวัฏจักรการลงทุนดังกล่าวยังแรงต่อเนื่องไปจนถึงปี 2569 ตามวัฏจักรการลงทุนที่ใช้เวลาวางแผนและดำเนินการราว 2–3 ปี

อย่างไรก็ตาม แนวโน้มหลังปี 2570 ยังไม่สามารถประเมินได้แน่ชัด เนื่องจากผู้ให้บริการเพิ่งเริ่มใช้งานศูนย์ข้อมูลเพื่อสร้างรายได้และกำไรที่เกิดจากการใช้งานจริง หากผลลัพธ์เป็นบวก โมเมนตัมจะเดินหน้าต่อ แต่หากไม่เป็นไปตามเป้า อาจเกิดการชะลอตัว

“ตอนนี้เราอยู่กลางวัฏจักรการลงทุนที่เข้มข้นมาก ซึ่งเริ่มตั้งแต่ปลายปี 2567 และจะดำเนินต่อไปในปี 2569 และ 2570 เพราะการวางแผน สั่งซื้อ และติดตั้งระบบใช้เวลาหลายปี”นายวิคเตอร์ กล่าว

นายวิคเตอร์ กล่าวว่า ในด้านเทคโนโลยี บริษัทเน้นการนำผลลัพธ์จากผู้พัฒนาในสหรัฐฯ และจีนที่มีพัฒนาเร็วที่สุดในเอเชีย มาปรับใช้กับการดำเนินงานของบริษัทฯ เช่น การจัดการวัสดุ,การควบคุมคุณภาพ และการออกแบบดิจิทัลและการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต

“เราเพิ่งเริ่มใช้เทคโนโลยีเหล่านี้อย่างจริงจังในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา และเชื่อว่าจะมีงานอีกมากที่ต้องทำในอนาคต”นายวิคเตอร์ กล่าว

นายวิคเตอร์ กล่าวถึงกรณีที่ตลาดกังวลเรื่องฟองสบู่ AI ในสหรัฐฯ บริษัทจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิด แต่ยังคงเน้นการเติบโตอย่างมีเสถียรภาพและไม่เร่งขยายตัวเกินความจำเป็น เพราะการเติบโตที่เร็วเกินไปอาจนำไปสู่การชะลอตัวอย่างรุนแรง จึงเลือกเติบโตอย่างมีสมดุล เพื่อรักษาความมั่นคงในการดำเนินงานระยะยาว

นายแจ็คกี้ จาง ประธานฝ่ายบริหารและปฏิบัติการ บริษัทเดลต้า อีเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า บริษัทฯได้ขยายการลงทุนในศูนย์วิจัยและพัฒนาของ Delta ในไทยจะเน้นสนับสนุนการออกแบบผลิตภัณฑ์และโซลูชันสำหรับตลาดในประเทศและการส่งออก โดยบางส่วนจะครอบคลุมการพัฒนาโซลูชันระดับภูมิภาค เช่น ระบบพลังงานในตู้คอนเทนเนอร์ ซึ่งอาจผลิตในไทยหรือประเทศอื่นในเครือข่าย

บริษัทตั้งเป้าเพิ่มจำนวนบุคลากรด้านวิศวกรรมและวิจัยในไทยเป็น 1,800 คนภายใน 2–3 ปีข้างหน้า โดยจะผสมผสานระหว่างนักศึกษาจบใหม่ในประเทศและผู้เชี่ยวชาญในไทยและจากต่างประเทศ เพื่อร่วมกันพัฒนาและยกระดับศักยภาพด้านเทคโนโลยีของไทย

“เรามุ่งมั่นที่จะมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนผ่านประเทศไทยสู่สังคมที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี พร้อมสร้างแรงบันดาลใจให้นักศึกษาเห็นภาพอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และแนวโน้มเมกะเทรนด์ในอนาคต”นายแจ็คกี้ กล่าว

นายแจ็คกี้ ชี้ว่า AI ได้เริ่มเปลี่ยนแปลงรูปแบบการสร้างรายได้ของผู้ให้บริการแพลตฟอร์ม โดยสามารถวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้งานจากข้อมูลการใช้งานแอปพลิเคชัน เพื่อเสนอเนื้อหาและสินค้าได้ตรงความสนใจมากขึ้น

แม้เทคโนโลยี AI จะเริ่มถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ แต่ในภาคการผลิตของ Delta ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น โดยมีการใช้งานบางส่วนเท่านั้น และยังต้องลงทุนเพิ่มเติมทั้งในด้านอุปกรณ์และบุคลากรเพื่อพัฒนาระบบให้ครอบคลุมมากขึ้น

“เรายังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการนำ AI มาใช้ในอุตสาหกรรมของเรา และคาดว่ารอบนี้จะเป็นวัฏจักรที่ยาวนาน ต้องใช้เวลาและการลงทุนอย่างต่อเนื่อง”นายแจ็คกี้ กล่าว

นายแจ็คกี้ กล่าวว่า จากแนวโน้มการลงทุนใน Data Center ในไทย และ แห่งอาเซียน กำลังเร่งตัว รวมถึงการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว มองว่า ไทยมีโอกาสก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางด้านพลังงานสะอาดและศูนย์ข้อมูล AI ในภูมิภาคอาเซียน หากภาครัฐเร่งปรับนโยบายและกฎระเบียบให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง

ด้านศูนย์กลางดาต้า เซ็นเตอร์ในอาเซียน โดยไทยมีข้อได้เปรียบสำคัญ 3 ด้าน ได้แก่ พื้นที่อุตสาหกรรมพร้อมใช้งาน, ระบบสาธารณูปโภคด้านไฟฟ้าที่มั่นคง และ มีแหล่งน้ำเพียงพอสำหรับการดำเนินงาน ทรัพยากรพื้นฐานที่พร้อมรองรับการลงทุนจากบริษัทระดับโลก และไทยอย่างสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ให้การสนับสนุนเต็มที่ในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น

แม้ในอดีตจะมีอุปสรรคด้านการขยายศูนย์ข้อมูลในไทย แต่ปัจจุบันเริ่มเห็นสัญญาณการลงทุนที่เพิ่มขึ้นจากผู้เล่นระดับโลก ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มที่ดีในระยะกลางถึงยาว

บริษัทฯได้ร่วมมือกับผู้นำอุตสาหกรรมหลายรายเพื่อเร่งการลงทุนและติดตั้งศูนย์ข้อมูล AI ในไทย ไม่ว่าใครจะเข้ามาลงทุนในไทย ก็พร้อมสนับสนุนเต็มที่เพื่อให้การติดตั้งและดำเนินงานศูนย์ข้อมูลเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

ด้านพลังงานสะอาด ขณะนี้ไทยยังอยู่ในช่วงทดลองนโยบายผ่านระบบ Sandbox เพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดและการซื้อขายไฟฟ้าในรูปแบบใหม่ แต่หากต้องการเป็น “Low Carbon Hub” อย่างแท้จริง จำเป็นต้องปรับปรุงกฎระเบียบทั้งในระดับรัฐบาลและการค้าท้องถิ่นให้เอื้อต่อการลงทุนมากขึ้น

“ไทยอยู่ในจุดที่ดีมาก เพราะผู้นำอุตสาหกรรมและบริษัทต่าง ๆ มีเจตนารมณ์ชัดเจนในการลดการปล่อยคาร์บอนและใช้พลังงานสะอาด ซึ่งเป็นแรงผลักดันสำคัญในการร่วมมือกับภาครัฐเพื่อขับเคลื่อนนโยบายไปในทิศทางที่ดีขึ้น”นายแจ็คกี้ กล่าว

นายแจ็คกี้ กล่าวว่า บริษัทฯ ประกาศเป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2573 ซึ่งผลการทำงานด้านนี้ที่เห็นผลเร็วและดีมา เชื่อว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายได้ในปี 2570 ก่อนเป้าหมาย 3 ปี พร้อมเข้าร่วมโครงการ EV100 เพื่อส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในองค์กร ทั้งด้านจัดซื้อรถบรรทุกและรถยนต์ไฟฟ้า,การติดตั้งสถานีชาร์จ EV ทั้งในพื้นที่ของ Delta และให้บริการลูกค้า และสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐาน EV ให้พร้อมใช้งานในหลายพื้นที่

“ภาคเอกชนสามารถเป็นผู้ริเริ่มและสร้างแรงผลักดันให้ภาครัฐปรับกฎระเบียบให้สะดวกและคล่องตัวมากขึ้น เพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ”นายแจ็คกี้ กล่าว

อ่านข่าวอื่นๆ : https://hoonsmart.com/archives/386680

———————————————————————————————————————————————————–