กรณีศึกษา SCG ประโยชน์ของ BOI+SET จาก 1 บริษัท 1 ธุรกิจสู่ 300 บริษัท 4 ธุรกิจ

HoonSmart.com>>เอสซีจี แชร์ประสบการณ์รับการส่งเสริมสิทธิพิเศษจาก BOI จากจุดเริ่มต้น 1 บริษัท สู่การเติบโตแตกตัวเพิ่มเป็นกว่า 300 บริษัท ที่มี SET ช่วยปลดล็อกศักยภาพการเข้าถึงแหล่งเงินทุนหนุนการเติบโตในระยะยาว ชี้การทำงานร่วมกันอย่างไร้รอยต่อของ 2 หน่วยงาน จะเป็นกลไกทรงพลังที่ช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจไทยสู่เวทีโลก

นางจันทนิดา สาริกะภูติ ประธานเจ้าหน้าที่สายการเงิน บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) หรือ SCG กล่าวในงานสัมมนา “BOI to IPO: ตลาดทุนสร้างการเติบโต” ในช่วงเสวนาหัวข้อ “การยกระดับการเติบโตด้วยกลไกของตลาดทุน” ถึงความสัมพันธ์ระหว่าง SCG กับคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เป็นความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและยาวนาน โดยมีลักษณะคล้าย “คู่บุญบารมีกันมาเลย”

การเติบโต ส่วนหนึ่งมาจากการสนับสนุนของ BOI และยังคงใช้ประโยชน์จากการส่งเสริมดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าบริษัทฯจะมีขนาดใหญ่และมีความแข็งแกร่งทางด้านเงินทุนของตนเองแล้วก็ตาม

ปัจจุบัน SCG มีบริษัทในเครือมากกว่า 300 แห่ง และในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ได้ขอรับการส่งเสริมจาก BOI หลายร้อยโครงการ ซึ่งครอบคลุมด้านการลงทุน ระบบอัตโนมัติ (Automation) การวิจัยและพัฒนา (R&D) และการขยายกำลังการผลิต

สิทธิประโยชน์จาก BOI ที่ส่งผลต่อการเติบโต ได้แก่ การลดหย่อนภาษี การนำเข้าเครื่องจักรและเทคโนโลยี และการอำนวยความสะดวกในด้านต่าง ๆ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้บริษัทมีฐานะทางการเงินแข็งแกร่งและสามารถขยายธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ

BOI และ SET ยังมีบทบาทสำคัญในการสร้างความสามารถในการแข่งขัน โดยเฉพาะในช่วงเริ่มต้นของธุรกิจสำหรับบริษัทลูกหรือธุรกิจขนาดเล็กในเครือ SCG ซึ่งได้รับสิทธิประโยชน์ที่ช่วยให้สามารถเติบโตและขยายกิจการได้อย่างมั่นคง

เมื่อพิจารณาในภาพรวม การส่งเสริมของ BOI และการเข้า SET ถือเป็นกลไกที่เสริมกันอย่างมีประสิทธิภาพ โดย BOI ช่วยสร้างความแข็งแกร่งในช่วงต้นของธุรกิจ ส่วน SET เป็นกลไกที่ช่วยต่อยอดการเติบโตในระยะยาว หากทั้ง 2 หน่วยงานสามารถทำงานร่วมกันอย่างไร้รอยต่อ จะช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจไทยและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของบริษัทไทยในระยะยาว

นางจันทนิดา กล่าวว่า ปัจจุบัน SCG ดำเนินธุรกิจหลักใน 4 กลุ่ม ได้แก่ ธุรกิจปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ (SCG Packaging) ธุรกิจปิโตรเคมี และธุรกิจพลังงานสะอาด (SCG Clean Energy) โดยการขยายตัวในแต่ละกลุ่มล้วนได้รับการส่งเสริมจาก BOI อย่างต่อเนื่อง

SCG ยังใช้กลยุทธ์แยก (Spin-off) บริษัทลูกเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อปลดล็อกศักยภาพการเติบโตและเข้าถึงแหล่งเงินทุน

โดยบริษัทแม่ซึ่งเป็น Holding Company มีข้อจำกัดด้านการจัดสรรเงินทุนให้แก่บริษัทลูกที่มีมากกว่า 300 บริษัท

การ Spin-off จึงช่วยให้บริษัทลูกมีแหล่งเงินทุนของตนเอง และมี pool ของ capital ที่สามารถเข้าถึงได้ด้วยตนเองและสามารถขยายธุรกิจได้อย่างอิสระ ลดการพึ่งพาบริษัทแม่

ตัวอย่างความสำเร็จของ SCG Packaging (SCGP) ซึ่งเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯในปี 2563 ที่ขยายกิจการผ่านการควบรวมกิจการ (M&A) จำนวน 11 แห่ง และการขยายกำลังการผลิตแบบออร์แกนิกอีก 10 โครงการ จนมีฐานการผลิตใน 13 ประเทศทั่วโลก

การ Spin-off ยังช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการบริหารจัดการ โดยบริษัทลูกสามารถตัดสินใจได้รวดเร็วขึ้น ไม่ต้องกลับมาให้บริษัทแม่ตัดสินใจ มีโครงสร้างธรรมาภิบาลที่ชัดเจน และสามารถดึงดูดนักลงทุนเฉพาะกลุ่มได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ การแยกธุรกิจออกมายังช่วยให้การประเมินมูลค่าบริษัทเป็นไปอย่างโปร่งใสและเข้าใจง่าย ลดความซับซ้อนจากการรวมหลายธุรกิจไว้ในบริษัทแม่ และเปิดโอกาสให้นักลงทุนเลือกลงทุนในธุรกิจที่ตนเองสนใจโดยตรง

นางจันทนิดา อธิบายว่า การที่ SCG Packaging แยกออกมาเป็นอีกบริษัทและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯเป็นการ “ปล่อยแสง” ของตนเอง ทำให้คนมองเห็นมูลค่าและมุมที่น่าสนใจของธุรกิจนั้น ๆ อย่างชัดเจน

นักลงทุนที่ต้องการลงทุนในธุรกิจเฉพาะทาง เช่น ธุรกิจ Packaging สามารถเลือกซื้อหุ้นของบริษัทที่ตนเองชอบได้โดยตรง โดยไม่ต้องถูกบังคับให้ซื้อรวมไปกับธุรกิจอื่นที่อาจมีความผันผวนสูง เช่น ปิโตรเคมี ซึ่งพวกเขาอาจไม่ชอบ

สรุปได้ว่า การ Spin-off เป็นการใช้ประโยชน์จากตลาดทุน เพื่อช่วยให้บริษัทลูกที่มีศักยภาพสามารถสร้าง “ครอบครัวตัวเอง” ขยายการเติบโตได้รวดเร็วขึ้น และทำให้นักลงทุนสามารถประเมินมูลค่าและเลือกลงทุนในธุรกิจนั้นได้อย่างชัดเจนขึ้น

นางจันทนิดา แนะนำว่า การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้ประสบความสำเร็จนั้น ต้องเริ่มจากการกำหนดวัตถุประสงค์และวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน ซึ่งจะนำไปสู่การสร้าง Equity Story หรือ Growth Story ที่สามารถสื่อสารศักยภาพของบริษัทต่อนักลงทุนได้อย่างมีพลัง

ต้องตอบคำถามให้ได้ว่า บริษัทจะเติบโตอย่างไร มีศักยภาพในด้านใด เป้าหมายคืออะไร และจะไปถึงเป้าหมายนั้นได้อย่างไร

บริษัทควรเตรียมความพร้อมในด้านอื่น ๆ เช่น การจัดทำบัญชีตามมาตรฐาน IFRS การดำเนินงานตามหลัก ESG การจัดโครงสร้างคณะกรรมการ และการมีทีม Investor Relations (IR) ที่สามารถสื่อสารกับนักลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การเป็นบริษัทจดทะเบียนยังส่งผลต่อความโปร่งใสและความมั่นใจของนักลงทุน โดยบริษัทจะได้รับการตรวจสอบและคัดกรองตามมาตรฐานที่กำหนด ซึ่งช่วยสร้างความเชื่อมั่นทั้งในประเทศและต่างประเทศ

นักลงทุน มักให้ความสำคัญกับสถานะการจดทะเบียนของบริษัท โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาความร่วมมือหรือการลงทุนในต่างประเทศ การที่บริษัทเป็นบริษัทจดทะเบียนจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและความมั่นใจในสายตาของพันธมิตรและนักลงทุน

“การเป็นบริษัทจดทะเบียนจึงถือเป็นข้อได้เปรียบสำคัญที่สะท้อนถึงมาตรฐานการดำเนินงาน ความโปร่งใส และความพร้อมในการเติบโตอย่างยั่งยืนในระดับสากล”นางจันทนิดา กล่าว