“สมอทอง กรุ๊ป” (SMO) ปักหมุด ผู้นำอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมัน

HoonSmart.com >> “สมอทอง กรุ๊ป” (SMO) ปักหมุด ผู้นำอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมัน ระดมทุนขยายกำลังผลิต เพิ่มประสิทธิภาพเครื่องจักร 

กิตติพงษ์ พวงมาลา

ในยุคที่ตลาดพลังงานหมุนเวียนกำลังมาแรง บริษัทจากภาคเกษตรที่สามารถต่อยอดสู่ธุรกิจพลังงานสะอาดได้ กำลังกลายเป็นกลุ่มดาวรุ่งของตลาดทุนไทย “บริษัท สมอทอง จำกัด (มหาชน)” หรือ SMO คือหนึ่งในนั้น
ด้วยรากฐานจากธุรกิจสกัดน้ำมันปาล์มกว่า 20 ปี วันนี้ “สมอทอง” พร้อมยกระดับจากโรงสกัดในสุราษฎร์ฯ สู่ “บริษัทมหาชน” ที่ตั้งเป้าเติบโตอย่างยั่งยืนสู่ผู้นำอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันในเมืองไทย

ย้อนกลับไปเมื่อหลายสิบปีก่อน ธุรกิจของสมอทองเริ่มต้นจากโรงสกัดน้ำมันปาล์มขนาดเล็กในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ก่อนจะขยายอย่างต่อเนื่องจนปัจจุบันมีโรงงาน 4 แห่ง ครอบคลุมภาคใต้และภาคกลาง ได้แก่ สุราษฎร์ธานี (2 แห่ง), ชุมพร และสระบุรี รวมกำลังการผลิตกว่า 240 ตันผลปาล์มสดต่อชั่วโมง

ตั้งเป้าเติบโตปีละ 30% สู่ผู้นำตลาด

นายกิตติพงษ์ พวงมาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SMO กล่าวว่า ธุรกิจปาล์มน้ำมันเติบโตเติบโตตลอดในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จากจำนวนประชากรโลกที่เพิ่มมากขึ้น นอกเหนือจากการนำน้ำมันปาล์มดิบไปผลิตเป็นน้ำมันปาล์มขวดโดยตรง ปาล์มน้ำมันยังเป็นส่วนประกอบในสินค้าจำเป็นของชีวิต เช่น แชมพู สบู่ ยาสีฟัน ไปจนถึงผลิตภัณฑ์ด้านความงาม และอาหารเสริม

ปัจจุบันรายได้หลักกว่า 97% ของ SMO มาจากธุรกิจสกัดและจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบ ส่วนอีกหนึ่งธุรกิจสำคัญคือ การผลิตไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพ (Biogas) กำลังผลิตรวมกว่า 14 เมกะวัตต์ ภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) รวม 12.7 เมกะวัตต์ ซึ่งช่วยสร้างรายได้ประจำอย่างต่อเนื่องและสอดรับการดำเนินธุรกิจตามแนวทาง ESG อย่างชัดเจน

“เรามุ่งเน้นธุรกิจโรงสกัดเป็นหลัก เพราะเห็นว่าห่วงโซ่การผลิตตรงนี้มีศักยภาพสูง เป็นจุดเชื่อมระหว่างเกษตรกรกับโรงกลั่นน้ำมัน และเป็นหัวใจของอุตสาหกรรมพลังงานชีวภาพในอนาคต การสกัดน้ำมันปาล์มดูเหมือนธุรกิจเดิม ๆ แต่ถ้าบริหารจัดการดีและควบคุมคุณภาพได้ มันคือธุรกิจที่ยั่งยืนและมีกำไรมั่นคง” นายกิตติพงษ์ กล่าว

ซึอีโอ SMO มีวิสัยทัศน์ มุ่งสร้างการ “เติบโตด้วยคุณภาพ” ถูกถ่ายทอดผ่านการวางระบบโรงงาน การบริหารซัพพลายเชน และการยกระดับมาตรฐานสิ่งแวดล้อม ซึ่งทั้งหมดนี้กำลังพา SMO ก้าวไปอีกขั้น จากโรงงานระดับภูมิภาค สู่การเป็นผู้เล่นระดับต้น ๆ ของประเทศ

“เราวางเป้าหมาย 3 ปีจากนี้ จะขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นปีละ 30% และเพิ่มรายได้เฉลี่ยปีละ 30% ก้าวสู่ผู้นำในอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันท็อป 3 จากเดิมเราอยู่อันดับ 5 ซึ่งการระดมทุนจากตลาดหลักทรัพย์เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโต”

IPO 231.6 ล้านหุ้น

ทั้งนี้ SMO เตรียมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 231.6 ล้านหุ้น ที่ราคาหุ้นละ 5.40 บาท คิดเป็นอัตรา P/E ประมาณ 7.6 เท่า ซึ่งอยู่ในระดับที่น่าสนใจเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมเกษตรพลังงาน โดยมีแผนใช้เงินระดมทุนกว่า 1,250 ล้านบาท เพื่อขับเคลื่อน 4 โครงการหลัก ได้แก่

  1. ลงทุนขยายกำลังการผลิตและธุรกิจต่อยอดในกลุ่มน้ำมันปาล์ม (Forward & Horizontal Integration) โดยลงทุนโรงงานผลิตแห่งที่ 5 ในพื้นที่ภาคใต้ จะช่วยเพิ่มกำลังการผลิต 75 ตันผลปาล์มสดต่อชั่วโมง คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จภายในไตรมาส 2 ปี 2569 ทำให้บริษัทมีกำลังผลิตรวม 315 ตันผลปาล์มสดต่อชั่วโมง 2. ชำระคืนหนี้สินเพื่อเสริมฐานะการเงินให้แข็งแรง 3. ลงทุนปรับปรุงกระบวนการผลิตด้านสิ่งแวดล้อม เช่น ระบบบำบัดน้ำเสียและเครื่องดักฝุ่น เพื่อตอบโจทย์ ESG และ 4. ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน

“เราต้องการให้เงินจาก IPO ไปต่อยอดธุรกิจ ไม่ใช่เพียงขยายกำลังการผลิต แต่เพื่อสร้างระบบการผลิตที่ยั่งยืน และพร้อมรองรับการเติบโตในอนาคต” นายกิตติพงษ์กล่าว

พร้อมบุกตลาดส่งออกจีน-อินเดีย

ปัจจุบัน ผลผลิตน้ำมันปาล์มของ SMO จำหน่ายทั้งในประเทศและส่งออกไปต่างประเทศ โดยเฉพาะอินเดีย ซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่มีจำนวนประชากรมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโลก ในสัดส่วนส่งออก 60% และขายในประเทศ 40% นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนขยายตลาดส่งออก โดยเฉพาะประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดใหญ่อันดับต้นของโลก “จีนคือโอกาสของเรา เพราะอยู่ใกล้ เดินทางง่าย และมีดีมานด์สูงในน้ำมันปาล์มดิบ”

นายกิตติพงษ์ กล่าวว่า กลยุทธ์การบริหารจัดการความเสี่ยงที่ทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างต่อเนื่อง คือการขยายตลาดส่งออก เพราะการดำเนินธุรกิจเกษตรต้องเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนที่เกิดขึ้นตามฤดูกาล ในช่วงโลว์ซีซันที่ความต้องการในประเทศลดลง ตลาดส่งออกยังมีดีมานด์สูง โดยเฉพาะเมื่อบริษัทมุ่งไปที่ตลาดส่งออกขนาดใหญ่อย่างอินเดียที่มีความต้องการปาล์มน้ำมันสูง รวมถึงการบริหารจัดการต้นทุนการผลิตในประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ

“ในอดีตธุรกิจปาล์มน้ำมันจะเป็นโรงงานเดี่ยว แต่เราเน้นขยายโรงงานผลิตเข้าไปอยู่ในพื้นที่ของเกษตรกร โมเดลเหมือนเปิดร้านเซเว่น ที่เน้นเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในแต่ละพื้นที่ และเน้นการบริหารระบบโลจิสติกส์อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้บริษัทมีต้นทุนที่แข่งขันได้ ขณะเดียวกันเกษตรกรก็สามารถเติบโตไปพร้อม ๆ กับเรา” นายกิตติพงษ์ กล่าว

ผลประกอบการเติบโตแรง ครึ่งปีกำไรพุ่งกว่า 300%

สำหรับผลประกอบการของ SMO ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 สะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของ SMO อย่างชัดเจน โดยมีรายได้รวมกว่า 4,965 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42% จากปีก่อน กำไรสุทธิ 518 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 305% อัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 10.55% และอัตราหนี้สินต่อทุนเพียง 0.8 เท่า ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนถึงการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ และการเติบโตของตลาดในประเทศที่ยังมีช่องว่างอีกมาก

“เรามาจากธุรกิจพื้นฐานของเกษตรไทย เราเติบโตจากแรงของเกษตรกร และเราจะโตไปพร้อมกับพวกเขา การเข้าตลาดหลักทรัพย์ครั้งนี้ไม่ใช่แค่การระดมทุน แต่คือการยืนยันว่า ‘สมอทอง’ พร้อมจะเป็นหุ้นยั่งยืน ที่สร้างทั้งผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ และคุณค่าทางสังคม” นายกิตติพงษ์ กล่าวทิ้งท้าย