ดาวโจนส์ปิดลบ 63 จุด สวน S&P 500, Nasdaq ทำนิวไฮ รับดีล AMD-OpenAI

HoonSmart.com>>ดัชนีดาวโจนส์ปิดปรับตัวลง 63.31 จุด สวนทาง S&P 500 บวก 24.49 จุด และ Nasdaq บวก 161.16 จุด ปิดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังประกาศข้อตกลงสำคัญระหว่าง AMD และ OpenAI ที่เพิ่มความเชื่อมั่นในการซื้อขายธีม AI ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบหลังนายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส เซบาสเตียน เลอกอร์นู ลาออกอย่างกะทันหัน ด้านราคาน้ำมันฟื้นตัว

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average: DJIA) วันที่ 6 ตุลาคม 2568 ปิดที่ 46,694.97 จุด ลดลง 63.31 จุด หรือ -0.14% ขณะที่ดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ปิดตลาดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังจากที่มีการประกาศข้อตกลงสำคัญระหว่าง AMD และ OpenAI ที่เพิ่มความเชื่อมั่นในการซื้อขายธีม AI และความคาดหวังเชิงบวกเกี่ยวกับกิจกรรมการควบรวมและซื้อกิจการ แม้รัฐบาลกลางยังปิดทำการอีกสัปดาห์หนึ่ง

ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,740.28 จุด เพิ่มขึ้น 24.49 จุด, +0.36%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 22,941.67 จุด เพิ่มขึ้น 161.16 จุด, +0.71%

โดยดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ได้รับแรงหนุนจาก AMD ที่พุ่งขึ้นเกือบ 24% หลังจากที่ประกาศว่า ได้ลงนามข้อตกลงระยะยาวกับ OpenAI เพื่อจัดหาชิปปัญญาประดิษฐ์ให้กับ ChatGPT ซึ่งจะสร้างรายได้หลายหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ข้อตกลงนี้ยังเปิดโอกาส ChatGPT สามารถซื้อหุ้นของ AMD ซึ่งเป็นหนึ่งในคู่แข่งสำคัญของ Nvidiaได้สูงสุด 10%

Nvidia ซึ่งเป็นคู่แข่งหลักของ AMD ในด้านหน่วยประมวลผลกราฟิก ตกอยู่ภายใต้แรงกดดันหลังจากการประกาศดังกล่าวราคาหุ้นลดลง 1.11%

ข้อตกลงของ AMD และ OpenAI ถือเป็นอีกหนึ่งแรงกระตุ้นที่เกี่ยวข้องกับ AI ให้กับตลาดที่ไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะปิดทำการของรัฐบาล การพุ่งขึ้นของ AMD ส่งผลให้หุ้นชิปตัวอื่นๆ ปรับตัวสูงขึ้น ทั้ง Applied Materials Micron และ TSM

นักลงทุนให้ความสนใจกับแนวโน้มเชิงบวกของ AI แม้ว่าการปิดทำการของรัฐบาลที่เข้าสู่สัปดาห์ที่สองจะทำให้การเผยแพร่ข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญ เช่น รายงานการจ้างงานรายเดือนล่าช้าก็ตาม

แม้ไม่มีข้อมูล แต่เจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) หลายคนก็มีกำหนดที่จะกล่าวสุนทรพจน์ในสัปดาห์นี้ ทั้งผู้ว่าการธนาคารกลาง สตีเฟน มิรัน ในวันพุธ และประธานธนาคารกลาง เจอโรม พาวเวลล์ ในวันพฤหัสบดี ขณะเดียวกันข้อมูลจากแหล่งที่ไม่ใช่ภาครัฐก็ถูกนำมาพิจารณาเช่นกัน โดยรายงานความเชื่อมั่นผู้บริโภคประจำเดือนตุลาคมของมหาวิทยาลัยมิชิแกนน่าจะเป็นประเด็นสำคัญ

นอกจากนี้ ผลประกอบการไตรมาสที่สามก็เริ่มทยอยออกมา โดยผลประกอบการของ PepsiCo, Delta Air Lines และ Levi Strauss กำหนดเผยแพร่ในสัปดาห์นี้

สำหรับหุ้นรายตัวอื่นๆ หุ้น Comerica ธนาคารระดับภูมิภาคพุ่งขึ้นเกือบ 14% หลังจากที่ Fifth Third Bancorp บรรลุข้อตกลงซื้อธนาคารด้วยมูลค่า 1.09 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ผ่านการทำธุรกรรมด้วยหุ้นทั้งหมด การควบรวมกิจการครั้งนี้จะทำให้ Comerica เป็นธนาคารที่มีสินทรัพย์ใหญ่เป็นอันดับ 9 ของสหรัฐฯ กองทุน SPDR S&P Regional Banking ETF พุ่งขึ้น 1% จากการคาดการณ์ว่าจะมีข้อตกลงในลักษณะจะเกิดขึ้นอีก โดยรวมแล้ว การควบรวมและซื้อกิจการ (M&A) กำลังฟื้นตัวขึ้น เสริมความแข็งแกร่งให้กับตลาดหุ้นในปีนี้

แม้ความกังวลเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการปิดหน่วยงานรัฐบาลและการเตือนใหม่เกี่ยวกับ “ฟองสบู่” ด้าน AI นักกลยุทธ์ทั่ววอลล์สตรีทกล่าวว่าหุ้นสหรัฐฯ ยังคงมีแนวโน้มดีที่จะเข้าสู่ช่วงปลายปี

Ed Yardeni ประธานของ Yardeni Research ปรับเพิ่มเป้าหมายดัชนี S&P 500 ขึ้นเป็น 7,000 อีกครั้ง จากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ทั้งความสามารถในการฟื้นตัวของกำไรและแรงหนุนจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด

ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบจากราคาหุ้นร่วงลง อันเนื่องมาจากการลาออกอย่างกะทันหันของนายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส เซบาสเตียน เลอกอร์นู แม้มีแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ หลังจากข้อตกลงจัดหาชิประหว่าง AMD กับ OpenAI

หุ้นฝรั่งเศสร่วงลง 1.4% นับเป็นการร่วงลงอย่างหนักที่สุดภายในวันเดียวนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม จากที่การปรับขึ้นติดต่อกัน 6 วัน หลังจากที่เลอกอร์นูลาออกอย่างกะทันหันเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากเปิดตัวคณะรัฐมนตรีชุดใหม่

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรฝรั่งเศสพุ่งสูงขึ้น โดยพันธบัตรอายุ 10 ปีแตะระดับสูงสุดในรอบ 1 สัปดาห์ ขณะที่ค่าเงินยูโรอ่อนค่าลง

ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 570.24 จุด ลดลง 0.21 จุด, -0.04%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 9,479.14 จุด ลดลง 12.11 จุด, -0.13%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,971.78 จุด ลดลง 109.76 จุด, -1.36%,
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 24,378.29 จุด ลดลง 0.51 จุด, -0.002%

นักลงทุนยังคงจับตาสถานะทางการคลังของฝรั่งเศส เนื่องจากฝรั่งเศสมีการขาดดุลงบประมาณสูงสุดในยูโรโซน ซึ่งเกือบสองเท่าของเกณฑ์ 3% ของสหภาพยุโรป

หุ้นกลุ่มสินค้าหรูของฝรั่งเศสได้รับผลกระทบ โดย LVMH, EssilorLuxottica และ Hermes ต่างลดลงกว่า 2.3%

หุ้นกลุ่มธนาคารก็ได้รับผลกระทบหนักเช่นกัน โดย SocGen และ BNP Paribas ร่วงลง 3.2% และ 4.2% ตามลำดับ

หุ้นขนาดกลางของฝรั่งเศสร่วงลง 1.7%

ฝรั่งเศสเผชิญปัญหาความไม่มั่นคงทางการเมืองมาตั้งแต่ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครงจัดให้มีการเลือกตั้งในปี 2565 โดยที่ไม่มีพรรคการเมืองใดครองเสียงข้างมากในรัฐสภา

หุ้นบลูชิพของฝรั่งเศสยังคงตามหลังหุ้นยุโรปอื่นๆ ในปีนี้ โดยเพิ่มขึ้นกว่า 7% เมื่อเทียบกับการเติบโตสองหลักในประเทศพัฒนาแล้วส่วนใหญ่

ในภาพรวมแล้ว กลุ่มน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้น 1.3% ตามราคาน้ำมันที่สูงขึ้น หลังจากกลุ่มโอเปก+ วางแผนเพิ่มกำลังการผลิตในเดือนพฤศจิกายนน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้

บริษัทเซมิคอนดักเตอร์ในยุโรปปรับตัวเพิ่มขึ้นหลังจากข้อตกลงจัดหาชิปของ AMD กับOpenAI โดย BESI พุ่งขึ้น 12.4% ขณะที่ ASML เพิ่มขึ้น 2%

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนพฤศจิกายนเพิ่มขึ้น 81 เซนต์ หรือ 1.33% ปิดที่ 61.69 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนธันวาคมเพิ่มขึ้น 94 เซนต์ หรือ 1.46% ปิดที่ 65.47 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

 
 
 
 
 
———————————————————————————————————————————————————–