HoonSmart.com>> ส่องกลยุทธ์”นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ” กรรมการผู้จัดการ กิจการค้าหลักทรัพย์ บล.บัวหลวง คนใหม่ เดินหน้าโบรกเกอร์ยุคใหม่ เพิ่มบทบาทมากกว่าการเป็นแค่นายหน้าซื้อขายหุ้น สู่การให้คำปรึกษา การเป็นโค้ชให้ความรู้ สร้างนวัตกรรมด้านการลงทุน ไปถึงการจัดหาผลิตภัณฑ์ลงทุนใหม่ๆ ล่าสุดออก Turbo Bull Note รายแรกในไทย จำกัดขาลง 10% หรือคุ้มครองเงินต้น 90% รับกำไรขาขึ้น 2 เท่า ช่วยลูกค้าบริหารพอร์ตให้เติบโต ลดความเสี่ยงในทุกสภาวะตลาด นำมาซึ่งรายได้ค่านายหน้าเบอร์ 1 และส่วนแบ่งกำไรที่ 9.5%
นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ” กรรมการผู้จัดการ กิจการค้าหลักทรัพย์ บล.บัวหลวง กล่าวว่า รายได้จากค่าคอมมิชชั่นการซื้อ-ขายหุ้น ยังคงเป็นสัดส่วนหลักของบริษัท โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 50–60% แต่แนวโน้มกำลังลดลงจากการแข่งขันค่าคอมฯ และสภาพตลาดหุ้นไทยที่ไม่ค่อยคึกคัก ทำให้หุ้นใหม่ที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯต้องชะลอตัว โดยเฉพาะในปี 2568 ที่หุ้น IPO เลื่อนเข้าตลาด ทำให้รายได้จากธุรกิจวาณิชธนกิจ (IB)ลดลงไปด้วย โดยปีนี้หากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจะมี 1 บริษัทที่จะเข้าจดทะเบียนใน SET จึงคาดว่าภาพรวมกำไรสุทธิของบล.บัวหลวงน่าจะลดลงประมาณ 20% ถือว่าลดลงต่ำกว่าอุตสาหกรรมเพราะมีรายได้อื่นเข้ามาเสริม ในขณะที่หลายโบรกฯกำไรสุทธิลดลงถึง 40%
สำหรับ ส่วนแบ่งด้านกำไรของบริษัทฯ อยู่ที่ 9.5% ของอุตสาหกรรม และมีรายได้ค่านายหน้าเป็นเบอร์ 1 ของอุตสาหกรรม โดยช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 ธุรกิจโบรกเกอร์ทั้งระบบมีกำไรสุทธิรวม 1,365 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันอยู่ราว 1,150 ล้านบาท กำไรที่สูงขึ้นมาจากโบรกเกอร์ในเครือของธนาคาร ที่มีรายได้จากการขายกองทุนเติบโตมาก โดยเฉพาะกองทุนที่ลิงค์กับหุ้นต่างประเทศ
“ลูกค้ารายย่อยยังคงเป็นกลุ่มหลักของเรา โดยมีสัดส่วนประมาณ 40–45% และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนลูกค้าสถาบันมีสัดส่วนราว 8–10% และนักลงทุนต่างชาติอยู่ที่ประมาณ 2–3% ซึ่งไม่ได้ส่งผลกระทบต่อบริษัทมากนักเมื่อมีการเข้าออกของเงินทุนของนักลงทุนต่างประเทศ โดยลูกค้า 80-85% จะมีการซื้อ-ขายหุ้นผ่านออนไลน์ ส่วนที่เหลือเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่จะเทรดตรงกับทางมาร์เก็ตติ้ง”นายชัยพร กล่าว
นายชัยพร กล่าวว่า โครงสร้างนี้สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของฐานลูกค้าภายในประเทศ และเป็นเหตุผลที่บริษัทพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่เหมาะกับนักลงทุนรายย่อย ทั้ง ตราสารหนี้ กองทุนรวม Structured Note และทองคำ มีการออก DR เป็นเจ้าแรกๆ การออกกองทุน Leverage ETF และ Inverse ETF ล่าสุดออก Turbo Bull Note (TBN) รับตลาดขาขึ้น เพื่อให้ลูกค้าสามารถเลือกลงทุนได้ตามความเสี่ยงและเป้าหมายของตนเอง มีโอกาสในการสร้างผลตอบแทน ลดความเสี่ยงด้านการลงทุนในทุกสภาวะตลาด และสร้างความมั่นคงด้านการลงทุนในระยะยาว
ตอนนี้หุ้นไทยถูกมากเมื่อเทียบกับมูลค่าทางบัญชี แต่หลายคนไม่กล้าซื้อ เพราะไม่รู้ว่าราคาจะขึ้นเมื่อไร สินค้าเหล่านี้ จึงเป็นคำตอบ ซึ่งอาจจะใหม่สำหรับตลาดหุ้นไทย แต่เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วในตลาดทุนระดับโลก ในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยยังไม่ไปไหน การมีผลิตภัณฑ์เหล่านี้ทำให้ลูกค้าบริหารพอร์ตได้ในทุกสภาวะตลาด
ETF+DR ประตูสู่ตลาดทุนโลก
อีกหนึ่งนวัตกรรมที่ผลักดันออกมาเป็นเจ้าแรกๆ คือ Depositary Receipt (DR) ซึ่งเปิดโอกาสให้นักลงทุนไทยเข้าถึงหุ้นต่างประเทศได้ง่ายขึ้น แม้ตอนนี้จะมีนักลงทุนเพียง 1 ใน 100 คนที่ลงทุนใน DR แต่มองว่านี่คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง โดยในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา เงินลงทุนใน DR ทั้งระบบอยู่ที่ 30,000 ล้านบาท ตอนนี้เพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 50,000 ล้านบาท สะท้อนถึงความต้องการของนักลงทุนที่ต้องการกระจายพอร์ตและสร้างผลตอบแทนในระดับโลก
ช่วงหลังๆ มีการออก DR ไปลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีต่างประเทศสูงมาก โดยยังมองว่าแนวโน้มการเติบโตได้อีก 3–5 ปีข้างหน้า แม้ตลาดโลกโดยเฉลี่ยปรับตัวขึ้นไปแล้ว โดยเฉพาะดัชนีเทคโนโลยีอย่าง NASDAQ ที่ทำ New High ต่อเนื่อง แต่ช่วงนี้โลกกำลังเปลี่ยนผ่านสู่ยุคเทคโนโลยีอย่างเต็มตัว ไม่ว่าจะเป็น AI หรือ Data Center บริษัทใหญ่ ๆ ทั่วโลกกำลังลงทุนมหาศาลในด้านนี้ และกำไรก็โตจริง ทำ New High ทุกไตรมาส ขณะที่ตลาดหุ้นไทยยังติดลบปีนี้ติดลบ 6% ถ้าจะให้เห็นภาพใกล้ตัวเข้ามาหน่อย คล้ายๆ กับช่วงที่ประเทศไทยมีธุรกิจมือถือใหม่ ๆ เมื่อ 10 ปีก่อน ซึ่งหุ้นกลุ่มที่ทำมือเป็นขาขึ้นต่อเนื่องนาน 5–7 ปี
นักลงทุนจึงเริ่มเข้าใจว่าการกระจายความเสี่ยงไม่ใช่แค่ทางเลือก มีการออกไปลงทุนต่างประเทศมากขึ้น ในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ปัจจุบัน ลูกค้าของบริษัทฯที่ลงทุน DR เพิ่มขึ้นเกิน 1,000 ล้านบาทภายในเวลาอันสั้น เพราะลงทุนง่ายไม่ต้องเปิดบัญชีต่างประเทศ และราคายังปรับตามอัตราแลกเปลี่ยนอีกด้วย ส่วน ETF เป็นกองทุนที่ช่วยให้กระจายการลงทุนหุ้นต่างประเทศได้ในหลายบริษัทพร้อมกัน ลดความเสี่ยงจากการเลือกหุ้นรายตัว
การลงทุนในต่างประเทศเป็นเรื่องใหม่สำหรับนักลงทุนไทย และก้าวแรกคือการเลือกหุ้นซึ่งเป็นสิ่งที่ยากที่สุด ซึ่งได้แนะนำให้เริ่มต้นจากหลักทรัพย์ที่มีคุณภาพสูงและมีแนวโน้มเติบโตจริง อย่าง DR ชื่อ CNTECH01 ซึ่งแม้ราคาจะสูงกว่าหุ้นไทย แต่ก็มีผลประกอบการที่เติบโตต่อเนื่อง และยังมี DR ชื่อ CATL01 ซึ่งเป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่ EV รายใหญ่ของโลก โดยมีลูกค้าทั้งในจีน ญี่ปุ่น และยุโรป หุ้นแบบนี้คืออนาคตของโลก และนักลงทุนไทยควรเริ่มเรียนรู้ตั้งแต่วันนี้
TBN สินค้าใหม่รายแรกคุ้มครองเงินต้น 90%
ล่าสุด ได้ออก Turbo Bull Note (TBN) ใช้หุ้นใน SET50 เป็นสินทรัพย์อ้างอิง เลือกได้ 2 หลักทรัพย์ เริ่มขายเดือน ต.ค.นี้ ลงทุนขั้นต่ำ 5 แสนบาท ซึ่งเป็นเครื่องมือการลงทุนที่ถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองต่อมุมมองตลาดที่แตกต่างกันออกไป เหมาะสำหรับ ตลาดขาขึ้น โดยมีจุดเด่นคือการให้ผลตอบแทนเป็น 2 เท่าหากหุ้นที่เลือกปรับตัวขึ้น เช่นหุ้นขึ้น 10% จะได้ผลตอบแทน 20% แต่จะมีการจำกัดความเสี่ยงขาลงไว้ที่ 10% ลูกค้ารับขาดทุนสูงสุด 10% ถ้าหุ้นลงไปมากกว่านี้ส่วนเกิน 10% บล.บัวหลวงจะเป็นคนรับไป และยังได้รับดอกเบี้ยระหว่างอายุของตั๋วด้วย แทนที่จะถือหุ้นไปเปล่าๆ
จากเดิมที่บริษัทฯมี Structure Note ซึ่งเหมาะกับตลาดขาลง หรือเมื่อคาดว่าราคาหุ้นจะไม่ไปไหน โดยลูกค้าจะได้ดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องระหว่างรอสะสมหุ้นในระดับราคาที่ตั้งเป้าหมายไว้ โดยมีบัฟเฟอร์ 20% หมายความว่าหากราคาหุ้นตกลงไปไม่ถึง 20% ลูกค้ายังได้รับดอกเบี้ย แต่ความเสี่ยงคือถ้าราคาหุ้นลงไปต่ำกว่าบัฟเฟอร์ หรือ เกิน 20% ลูกค้าจะต้องรับมอบหุ้นในราคาที่เปิดตั๋วไว้
ทั้ง 2 ผลิตภัณฑ์ ลูกค้าสามารถเลือกระยะเวลาการลงทุนและหุ้นที่อยู่ใน SET50 ได้ โดยมีข้อกำหนดการลงทุนขั้นต่ำที่ 5 แสนบาท ลูกค้าสามารถยกเลิกตั๋ว ได้ก่อนหมดอายุ
พัฒนาทีม IC รับมือยุคเปลี่ยนผ่าน
นายชัยพร กล่าวว่า ในยุคที่การลงทุนผ่านแอปพลิเคชัน การซื้อขายผ่านออนไลน์ กลายเป็นเรื่องปกติของคนรุ่นใหม่ แต่บริษัทยังเน้นยกระดับ IC หรือที่ปรึกษาการลงทุนกว่า 280 คน ผ่านระบบฝึกอบรมภายในอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษามาตรฐานการให้บริการระดับสูงสำหรับลูกค้าที่ยังคงต้องการพูดคุยและคำปรึกษา โดยเฉพาะการให้ IC ต้องมีความรู้ลึกในผลิตภัณฑ์ข ทั้งหุ้น กองทุน Structured Note และอื่น ๆ และต้องสามารถตอบโจทย์ลูกค้าเฉพาะบุคคลที่มีความต้องการไม่เหมือนกัน ไม่ใช่แค่ผู้แนะนำการซื้อขาย แต่ต้องเข้าใจพอร์ตของลูกค้า และสามารถให้คำปรึกษาเชิงกลยุทธ์ได้ ช่วยวางแผนการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
บริษัทฯยังไม่เปิดรับ IC อิสระ เพราะกังวลเรื่องมาตรฐานการให้บริการ โดยลูกค้าส่วนใหญ่มีอายุ 30–60 ปี ไม่ใช่นักเทรดเก็งกำไรรายวัน และยังต้องการการพูดคุยกับคนจริง ๆ เพื่อความมั่นใจ
