HoonSmart.com>>หุ้นกลุ่มปตท. (PTT) ชื่นมื่น ปรับพอร์ตทรัพย์สิน-เงินลงทุนภายในกลุ่ม โบรกฯต่างมองบวก สร้างกำไรและเสริมแกร่งการเงิน PTTGC พร้อมโตชดเชยธุรกิจปิโตรเคมีที่อ่อนแอ ส่วน TOP ทำให้ Net Debt to EBITDA ดีขึ้น จาก 10.38 เท่าเป็น 8.5 เท่ารักษาเรทติ้ง คาดจะมีดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้น 600 ล้านบาท/ปี จากการเช่าทรัพย์สินกลับมาใช้งาน ด้าน JP Morgan ปรับเพิ่มน้ำหนักและราคาเป้าหมาย OR เป็น 16 บาท , TOP เป็น 37 บาท, PTTGC เป็น 30 บาท, PTT เป็น 37 บาท
การซื้อขายหุ้น OR ปิดเช้าวันนี้ บวก 3.65% หรือ 0.50 บาท มาที่ 14.20 บาท มูลค่าซื้อขาย 32.36 ล้านบาท
หุ้น PTTGC ปิดเช้าบวก 2.83% มาที่ 27.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.75 บาท มูลค่าซื้อขาย 510.51 ล้านบาท
หุ้น TOP ปิดเช้าบวก 0.69% มาที่ 36.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท มูลค่าซื้อขาย 277.06 ล้านบาท
หุ้น PTT ปิดเช้าทรงตัวที่ 33.25 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าซื้อขาย 1,402.77 ล้านบาท
กลุ่ม ปตท.(PTT) สร้าง Synergy ใช้สินทรัพย์และเงินทุน ให้เกิดประโยชน์สูงสุดภายในกลุ่ม ผ่านกลยุทธ์ Asset Monetization ทำให้เกิดกำไรพิเศษ เสริมความแข็งแกร่งการเงิน ปตท.ส่ง”พีทีที แทงค์ เทอร์มินัล”ตั้งบริษัทย่อย ทำธุรกรรมกับบริษัทพีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) ซื้อทรัพย์สิน-ให้เช่าช่วงกลับ พร้อมซื้อหุ้น ไทยแท้งค์เทอร์มินัล 45.43% มูลค่า 4,403 ล้านบาท และซื้อทรัพย์สินจากบริษัทไทยออยล(TOP) รับเงินสดกว่า 1.8 หมื่นล้านบาท นำไปชำระหนี้ส่วนหนึ่ง
JP Morgan มองบวกหุ้นกลุ่มปตท. โดยหุ้น OR ปรับคำแนะนำขึ้นเป็น Overweight ให้ราคาเป้าหมาย 16 บาท , TOP ปรับคำแนะนำขึ้นเป็น Neutral ราคาเป้าหมาย 37 บาท, PTTGC ปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 30 บาท จากเดิม 28 บาท, PTT ปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 37 บาท จากเดิม 34 บาท
บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่า การทำธุรกรรมของ TOP จะได้รับกระแสเงินสดเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน รวมถึงการรักษาอันดับความน่าเชื่อถือ เพราะจะมีงบดุลและสภาพคล่องที่แข็งแรงขึ้นจากการรับเงินสด 1.82 หมื่นล้านบาท เพื่อนำไปจ่ายหนี้แล้ว จะทำให้ Net Debt to EBITDA ดีขึ้น จาก 10.38 เท่า เป็น 8.5 เท่า
อย่างไรก็ตามบริษัทคาดว่าจะมีดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้น 600 ล้านบาท/ปี จากการเช่าทรัพย์สินสำหรับระยะเวลาจัดทำโครงการนี้จะต้องขอมติผู้ถือหุ้น 3 ใน 4 ของผู้ถือหุ้นที่เข้าประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 9 ธ.ค. 2568 คาดโครงการนี้จะแล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้
สำหรับ PTTGC บอร์ดอนุมัติโครงการ Asset Monetization เพื่อเสริมสร้างผลกำไรและความแข็งแกร่งทางการเงิน หลังขายหุ้น 35.43% ในบริษัท ไทยแท้งค์เทอร์มินัล (TTT) คิดเป็นมูลค่า 4,400 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้บริษัทมีกำไรหลังหักภาษีที่ 1,100 ล้านบาท 2) ปรับโครงสร้างธุรกิจท่าเทียบเรือและคลังเก็บผลิตภัณฑ์ โดยจะขายทรัพย์สินและเช่าทรัพย์สินกลับบางส่วนรวมถึงรับบริการท่าเทียบเรือและพื้นที่ส่วนกลางเพื่อใช้ในการดำเนินงานโดยทรัพย์สินที่ให้เช่ามีมูลค่า 4,800 ล้านบาท จะทำให้มีกำไรจากการขายหลังหักภาษีที่ 1,210 ล้านบาท แต่ส่วนแบ่งกำไรจาก TTT ลดลง 284 ล้านบาท และมีค่าเช่าสินทรัพย์ปีละ 70 ล้านบาท ส่วนเงินสดที่ได้รับจากการขายจะนำไปชำระหนี้จะทำให้บริษัทประหยัดดอกเบี้ยจ่าย 240 ล้านบาท/ปี แนวโน้มระยะถัดไปเชื่อว่าการทำ Asset Monetization จะมากกว่านี้ โดยบริษัทตั้งเป้าไว้ที่ประมาณ 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะส่งผลบวกต่อ PTTGC เพื่อชดเชยธุรกิจปิโตรเคมีที่อ่อนแอ และมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง
บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ แนะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้น PTTGC ราคาเป้าหมาย (กลางปี 2569) ที่ 33 บาท จากการดําเนินกลยุทธ์ asset-light เพื่อใช้เงินทุนให้เกิดประโยชน์สูงสุดและเสริมความแข็งแกร่งทางการเงิน บริษัทตั้งเป้าทํา asset monetization มูลค่า 3 หมื่นล้านบาท โดยจะเริ่มจากการขายสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักมูลค่า 9,200 ล้านบาท เมื่อรวมกับการออก perpetual bond มูลค่า 3 หมื่นล้านบาท และการขยายระยะเวลาชําระค่าวัตถุดิบจาก PTT จํานวน 3 หมื่นล้านบาท จะทําให้อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อ EBITDA ลดลงมาที่ระดับตํ่ากว่า 5 เท่าภายในปี 2569 ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้อันดับความน่าเชื่อถืออยู่ที่ investment grade กลยุทธ์นี้สอดคล้องกับแผนปรับปรุงประสิทธิภาพโดยรวมของกลุ่ม PTT เพื่อเพิ่มความสามารถในการทํากําไรและผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้น
ส่วน TOP ให้คำแนะนำ เท่ากับตลาด ราคาเป้าหมายกลางปี 2569 ที่ 33 บาท เนื่องจากราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาแล้ว 31% ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ธุรกรรมนี้จะสร้างกระแสเงินสดสุทธิ 1.82 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะทําให้อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อ EBITDA ลดลงจาก 10.38 เท่า มาอยู่ที่ 8.54 เท่า จะช่วยเพิ่มสภาพคล่องและเสริมความแข็งแกร่งทางการเงินท่ามกลางสภาวะตลาดที่ผันผวน โดยมีความเสี่ยงด้านการดําเนินงานน้อยมากและได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากกลุ่ม PTT การเคลื่อนไหวครั้งนี้จะช่วยสนับสนุนเป้าหมายการเติบโตอย่างยั่งยืนและการสร้างมูลค่าในระยะยาว